คางทูม ไม่ใช่แค่แก้มบวม! รู้ทันอาการและภาวะแทรกซ้อนที่คาดไม่ถึง

04 พ.ย. 2568 14:07:45จำนวนผู้เข้าชม : 9 ครั้ง

เมื่อพูดถึง ‘คางทูม’ หลายคนคงนึกถึงภาพคนที่หน้าและคางดูบวมๆ เป็นอันดับแรก… และแม้ว่าโรคนี้จะเป็นที่คุ้นหูกันมานาน ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ก็มีมุมน่ากังวลที่หลายคนอาจไม่รู้ซ่อนอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าไวรัสคางทูมกันให้มากขึ้น ตั้งแต่สาเหตุเกิดจากอะไร อาการสำคัญที่สังเกตได้ ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น พร้อมวิธีดูแลตัวเองรวมถึงการป้องกันที่เราจะมาเล่าให้ฟังกัน


โรคคางทูม คืออะไร เกิดจาก ?
โรคคางทูม (Mumps) จริงๆ แล้วคือโรคติดเชื้อไวรัสเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสคางทูม (Mumps virus) ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มพารามิกโซไวรัส ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลาย หรือสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจของผู้ที่มีเชื้อ เช่น ไอ จาม พูดคุยในระยะใกล้ชิด การใช้ของใช้ที่ปนเปื้อนร่วมกันแล้วมาสัมผัสจมูกหรือปาก เมื่อเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายจะมุ่งไปที่ต่อมน้ำลายของเรา โดยเฉพาะต่อมน้ำลายหน้ากกหู (Parotid gland) ทำให้เกิดการอักเสบและบวมขึ้นมา จึงเป็นที่มาของชื่อโรคที่เราเรียกกันจนติดปากนั่นเอง


คางทูม… อันตรายจริงหรือเปล่า ? ส่วนใหญ่แล้วคางทูมในเด็ก ถ้าเป็นเด็กที่แข็งแรงดีมักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง แต่โรคคางทูมก็ถือว่าเป็นโรคที่ ‘อาจ’ อันตรายได้ เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือคนที่ไม่เคยได้รับวัคซีน ดังนั้น จึงไม่ควรประมาท

เช็กลิสต์ อาการโรคคางทูมเป็นอย่างไร ?
1. แก้มบวม คางบวม ต่อมน้ำลายหน้ากกหูอักเสบบวม กดแล้วเจ็บ
นี่คืออาการเด่นของคางทูม ซึ่งแก้มจะค่อยๆ บวมขึ้นมา อาจเริ่มจากข้างเดียวก่อนแล้วอีกข้างค่อยตามมา หรือบวมพร้อมกันทั้ง 2 ข้างเลยก็ได้ รู้สึกปวดหรือกดเจ็บบริเวณที่บวม โดยเฉพาะเวลากลืน อ้าปาก หรือเคี้ยวอาหาร ยิ่งถ้าเป็นของเปรี้ยวๆ ที่กระตุ้นให้หลั่งน้ำลายจะยิ่งกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น


2. เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัว
อาจมีไข้ตัวรุมๆ หรือไข้สูงได้ รวมถึงอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามตัว เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันและกล้ามเนื้อของเราจะทำงานเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งมักจะทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น หรือที่เราเรียกว่ามีไข้และเมื่อยเนื้อตัว ซึ่งถือว่าเป็นกลไกป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของร่างกาย


3. ปวดศีรษะ
มักเป็นอาการร่วมที่พบได้บ่อยในการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ที่อาจเกิดจากการอักเสบทั่วไปในร่างกายจากไข้ที่ขึ้นสูงในการกำจัดเชื้อไวรัส หรือจากการที่เชื้อไวรัสอาจมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางเล็กน้อย ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้


4. อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร
เมื่อร่างกายติดเชื้อและกำลังใช้พลังงานในการต่อสู้กับโรค จึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ส่วนอาการเบื่ออาหารมักจะตามมาพร้อมกับอาการไม่สบายตัว มีไข้ หรือการกลืนที่ลำบากจากต่อมน้ำลายที่บวม ทำให้ไม่อยากรับประทานอะไร


5.อาจมีอาการปวดหู
เนื่องจากต่อมน้ำลายหน้าหูอยู่ใกล้กับบริเวณหูมาก เมื่อต่อมนี้เกิดการอักเสบและบวมโตขึ้น ก็อาจไปกดเบียดหรือส่งผลกระทบต่อโครงสร้างบริเวณใกล้เคียงหู ทำให้รู้สึกปวดร้าวไปที่หู หรือรู้สึกเหมือนปวดหูได้


ภาวะแทรกซ้อนคางทูมที่ "อาจ" เกิดขึ้นได้
แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นคางทูมแล้วจะเจอภาวะแทรกซ้อน แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยภาวะแทรกซ้อนจากคางทูมสามารถทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้
• อัณฑะอักเสบ จะมีอาการปวดอัณฑะมาก อัณฑะบวม แดง ร้อน อาจมีไข้สูง หนาวสั่น และมีโอกาสทำให้เป็นหมันถาวรได้ (พบได้น้อย)
• รังไข่อักเสบหรือเต้านมอักเสบ มักจะพบน้อยกว่าและอาการไม่ค่อยรุนแรงเท่าในผู้ชาย ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้องน้อย (รังไข่อักเสบ) หรือเจ็บเต้านม (เต้านมอักเสบ)
• เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายได้เอง โดยมักมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้และอาเจียน ร่วมกับอาการหลักของคางทูม
• สมองอักเสบ พบน้อยกว่าเยื่อหุ้มสมองอักเสบมาก แต่อาการจะรุนแรงกว่า โดยมักพบว่ามีอาการซึมลง สับสน ชัก หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปร่วมด้วย
• ตับอ่อนอักเสบ มักมีอาการหลักร่วมกับอาการปวดท้องส่วนบนรุนแรง อาจร้าวไปที่หลัง คลื่นไส้ อาเจียน แต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย
• การสูญเสียการได้ยิน แม้จะพบไม่บ่อยแต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ อาจเกิดขึ้นเฉียบพลันโดยมักเป็นข้างเดียวและอาจทำให้สูญเสียการได้ยินอย่างถาวรได้

เมื่อเป็นคางทูม… รักษาและดูแลตัวเองยังไงดี ?
เนื่องจากคางทูมเกิดจากไวรัส จึงไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสตัวนี้โดยตรง การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการและดูแลประคับประคองเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว ดังนี้
• พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค
• รับประทานยาแก้ปวดลดไข้ เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน
• ประคบบริเวณที่บวม โดยประคบเย็นในช่วงแรกที่บวมและปวดมาก เพื่อช่วยลดบวมและปวด จากนั้นให้ประคบอุ่นเพื่อช่วยผ่อนคลาย
• ดื่มน้ำมากๆ หรือเครื่องดื่มที่ไม่เปรี้ยวจัด เช่น น้ำเปล่า น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง ชาสมุนไพรอุ่นๆ ชนิดไม่มีคาเฟอีน เป็นต้น
• รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุปรสอ่อน ห้ามกิน หรือพยายามหลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยวจัด เช่น น้ำส้มสายชู ผลไม้รสเปรี้ยว หรืออาหารที่ต้องเคี้ยวมาก เพราะจะกระตุ้นการหลั่งน้ำลายและทำให้ปวดบริเวณต่อมน้ำลายมากขึ้น
• แยกตัวจากผู้อื่น โดยเฉพาะในช่วง 5 วัน หลังจากเริ่มมีอาการบวม เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
•รักษาสุขอนามัย ปิดปากปิดจมูกเวลาไอ จาม ล้างมือบ่อยๆ
แม้ส่วนใหญ่อาการของโรคคางทูมจะไม่รุนแรง แต่ก็สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเมื่อเจ็บป่วยจึงมีความสำคัญ แนะนำให้ฉีดวัคซีน MMR (หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม) สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้มาก่อน เพื่อช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยและลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมาก ถ้าไม่แน่ใจว่าตนเองเคยรับวัคซีนชนิดนี้หรือไม่ สามารถรับการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบว่าตนเองมีภูมิต่อเชื้อ 3 ชนิดนี้หรือไม่ หากไม่มีภูมิแนะนำให้รับการฉีดวัคซีน MMR จำนวน 2 เข็ม เข้าใต้ผิวหนังห่างกัน 4 สัปดาห์ นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างมือบ่อยๆ และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้ หากสงสัยว่าเป็นคางทูม หรือมีอาการแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ทันที

 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล https://www.vimut.com/article/Mumps