สามผู้ค้นพบแนวทางรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง คว้ารางวัลโนเบลการแพทย์ 2025

30 ต.ค. 2568 14:27:44จำนวนผู้เข้าชม : 17 ครั้ง

เจมส์ กัลลาเกอร์
Role,ผู้สื่อข่าวภูมิอากาศและวิทยาศาสตร์
@JamesTGallagher
-----------------------
7 ตุลาคม 2025

รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2025 ตกเป็นของนักภูมิคุ้มกันวิทยา 3 คน ผู้ค้นพบกลไกของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่เรียกว่า "ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย" (peripheral immune tolerance) ซึ่งก็คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่คอยปกป้องอวัยวะต่างๆ ไม่ให้ถูกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติเข้าโจมตีทำร้ายเนื้อเยื่อของตัวเอง


ผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปีนี้ ได้แก่ศาสตราจารย์ ชิมง ซากากุจิ จากมหาวิทยาลัยโอซากาของญี่ปุ่น และคู่หูนักวิจัยชาวอเมริกัน ซึ่งก็คือดร.แมรี บรุนโคว์ จากสถาบันเพื่อการศึกษาชีววิทยาเชิงระบบ (ISB) ในนครซีแอตเทิลของสหรัฐฯ และดร.เฟรด แรมสเดล จากบริษัทโซโนมา ไบโอเทอราพิวติกส์ (Sonoma Biotherapeutics) ในนครซานฟรานซิสโก


ทั้ง 3 คนล้วนมีคุณูปการในด้านการศึกษาทำความเข้าใจระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอธิบายไขคำตอบว่า เหตุใดภูมิคุ้มกันจึงสามารถเลือกโจมตีทำลายแต่เชื้อโรคร้ายและสิ่งแปลกปลอม โดยไม่สนใจแตะต้องเซลล์ร่างกายของตนเองแม้แต่น้อย


คณะกรรมการรางวัลโนเบลในปีนี้ระบุว่าทั้ง 3 คนได้ค้นพบหลักการพื้นฐานทางชีววิทยาที่คอยควบคุมตรวจสอบระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ ซึ่งก็คือ "ทีเซลล์ชนิดควบคุม" (regulatory T-cell) เม็ดเลือดขาวที่เป็นเสมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยจะคอยตรวจตราไปทั่วร่างกาย และตรงเข้ากำจัดทีเซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะโจมตีเนื้อเยื่อของตนเสียเอง


กลไกของระบบภูมิคุ้มกันที่ค้นพบใหม่ดังกล่าว สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาวิธีรักษาแบบใหม่ๆ ให้กับผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันโจมตีตนเอง (autoimmune disease) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า "โรคแพ้ภูมิตัวเอง" รวมทั้งสามารถนำไปพัฒนาวิธีรักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย


ศ.โอเล แชมเป ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ระบุว่า "การค้นพบของทั้ง 3 ช่วยพิสูจน์ยืนยันว่า ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร และเหตุใดคนเราจึงไม่ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองกันไปหมด"


ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรา ใช้เซลล์เม็ดเลือดขาวคอยสอดส่องมองหาสัญญาณของการติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงไวรัสและแบคทีเรียแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยเซนเซอร์ตรวจจับเชื้อโรคของเซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นได้แก่ "ตัวรับ" (receptor) หรือโปรตีนที่ผิวเซลล์ ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างหลากหลายกันออกไปได้ถึงพันล้านล้านแบบ


หากตัวรับที่เหมือนกับตัวต่อจิ๊กซอว์เหล่านี้สามารถเสียบติดเข้ากับชิ้นส่วนของเชื้อโรคได้ มันจะแจ้งเตือนเซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ ว่าเกิดการติดเชื้อในร่างกายขึ้นแล้ว


ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพว่าทำงานได้อย่างถูกต้องในระหว่างที่พวกมันถูกสร้างและเติบโตขึ้นในต่อมไทมัส โดยทีเซลล์ที่มีปัญหาเพราะมีแนวโน้มว่าอาจโจมตีเนื้อเยื่อของตนเอง จะถูกทำลายทิ้งในต่อมดังกล่าว กลไกทางชีววิทยานี้เรียกว่า "ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง" (central immune tolerance) เพราะเกิดขึ้นในอวัยวะน้ำเหลืองส่วนกลางของร่างกาย


หากกระบวนการตรวจสอบคุณภาพเม็ดเลือดขาวข้างต้นล้มเหลว จะนำไปสู่การเกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง อย่างเช่นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis)


อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่า ต่อมไทมัสคืออวัยวะเดียวที่สามารถตรวจสอบคุณภาพของทีเซลล์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแพ้ภูมิตัวเองได้ ดังนั้นในช่วงทศวรรษ 1980 ศ.ซากากุจิจึงทำการทดลอง โดยตัดต่อมไทมัสของลูกหนูแรกเกิดทิ้ง ซึ่งส่งผลให้ลูกหนูมีภูมิคุ้มกันที่ไวขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งยังตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างรุนแรง และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ก็จะกลายเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองไปในที่สุด


แต่หลังจากที่ ศ.ซากากุจิ ทดลองฉีดทีเซลล์ที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้วให้กับลูกหนูที่ถูกตัดต่อมไทมัสจนระบบภูมิคุ้มกันปั่นป่วน ผลปรากฏว่าทีเซลล์จากหนูทดลองกลุ่มอื่นที่มีสุขภาพดี สามารถทำให้หนูที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองอย่างรุนแรงไม่ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองในภายหลัง


ศ.ซากากุจิจึงสันนิษฐานว่า จะต้องมีกลไกบางอย่างของทีเซลล์ที่เกิดขึ้นนอกต่อมไทมัส ซึ่งสามารถจะทำให้ภูมิคุ้มกันที่ทำงานอย่างบ้าคลั่งปั่นป่วนสงบลงได้ เขาเรียกเม็ดเลือดขาวทีเซลล์ชนิดใหม่นี้ว่า "ทีเซลล์ชนิดควบคุม" (regulatory T-cell) โดยมันจะทำหน้าที่ค้นหาและทำลายทีเซลล์ที่ทำงานผิดปกติ โดยออกลาดตระเวนไปทั่วร่างกาย รวมทั้งไปยังอวัยวะส่วนปลายที่ห่างจากต่อมไทมัสด้วย ทำให้ต่อมานักวิทยาศาสตร์เรียกชื่อกลไกชีวภาพนี้ว่า "ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย" (peripheral immune tolerance)


'ผลงานชิ้นบุกเบิก'
ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ดร.บรุนโคว์ และดร.แรมสเดล ได้ร่วมกันทำการทดลองเพื่อค้นหาสาเหตุทางพันธุกรรมของโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งต่อมาผลการทดลองของพวกเขาได้พิสูจน์ยืนยันว่า ทีเซลล์ชนิดควบคุมนั้นมีอยู่จริง และช่วยกำจัดทีเซลล์ที่ผิดปกติซึ่งทำร้ายเนื้อเยื่อของตัวเองได้


ทั้ง 2 ค้นพบการกลายพันธุ์ของยีนตัวหนึ่งบนโครโมโซมเอ็กซ์ (X) ซึ่งทำให้หนูทดลองที่ได้รับกัมมันตภาพรังสีล้มป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเองที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ยีนที่กลายพันธุ์ดังกล่าวมีชื่อว่า FOXP3 และเป็นยีนกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง IPEX ในมนุษย์ด้วย จนกระทั่งในปี 2003 ศ.ซากากุจิจึงสามารถพิสูจน์ได้ว่า ยีน FOXP3 เป็นตัวควบคุมการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของทีเซลล์ชนิดควบคุม


กลไกของระบบภูมิคุ้มกันที่ค้นพบใหม่นี้ สามารถนำไปพัฒนาวิธีรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากทีเซลล์ชนิดควบคุมจะขัดขวางไม่ให้เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ ต่อสู้กำจัดเซลล์เนื้อร้าย ดังนั้นการหาวิธีลดจำนวนทีเซลล์ชนิดควบคุมลง จะกระตุ้นให้ร่างกายขจัดเซลล์มะเร็งออกไปเองได้


ในทางกลับกัน หากมีการเพิ่มจำนวนทีเซลล์ชนิดควบคุมในร่างกายของผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ก็จะไม่ถูกภูมิคุ้มกันโจมตีอีกต่อไป ปัจจุบันจึงมีทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งกำลังทดลองแยกทีเซลล์ชนิดควบคุมจากร่างกายของผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง แล้วนำมาเพาะเลี้ยงให้เพิ่มจำนวนขึ้นในห้องปฏิบัติการ ก่อนจะฉีดกลับเข้าไปเพื่อรักษาโรคดังกล่าว หลักการเดียวกันนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อลดความเสี่ยงที่ร่างกายผู้ป่วยจะปฏิเสธอวัยวะของผู้บริจาคได้ด้วย


ศ.แอนเนต ดอลฟิน ประธานสมาคมสรีรวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวแสดงความเห็นต่อผลงานของนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 ว่า "ผลงานชิ้นบุกเบิกของพวกเขา ได้เผยให้เราทราบถึงกลไกการตรวจสอบดูแลระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งก็คือการทำงานของทีเซลล์ชนิดควบคุมนั่นเอง มันช่วยป้องกันไม่ให้ทีเซลล์ชนิดอื่นๆ โจมตีผิดเป้าหมายจนไปทำร้ายเนื้อเยื่อของตัวเอง"


"ผลการศึกษานี้คือตัวอย่างอันโดดเด่นที่แสดงให้เห็นว่าการวิจัยด้านสรีรวิทยาขั้นพื้นฐาน สามารถก่อประโยชน์ใหญ่หลวงแก่สุขภาพของคนเราได้"


นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 คนจะได้รับเงินรางวัลจำนวน 11 ล้านโครนสวีเดน หรือราว 38 ล้านบาท โดยพิธีมอบรางวัลโนเบลจะมีขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ เนื่องจากเป็นวันครบรอบมรณกรรมของอัลเฟรด โนเบล นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนผู้ก่อตั้งกองทุนรางวัลโนเบล เมื่อ 130 ปีก่อน


 


 


 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.bbc.com/thai/articles/ce807p4ez5no


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของรูป: Getty Images