8 โรคตาต้องระวัง เช็กความเสื่อม รู้ก่อนเสี่ยง

17 ก.ย. 2567 10:05:43จำนวนผู้เข้าชม : 170 ครั้ง

การตรวจคัดกรองดวงตาไม่เพียงช่วยให้ค้นพบความผิดปกติของดวงตาในระยะเริ่มแรก แต่ยังช่วยให้ค้นพบโรคเกี่ยวกับดวงตาในขณะที่ยังไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่ต้องพบกับความเสื่อม การตรวจคัดกรองดวงตาจะช่วยให้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่อาการจะรุนแรงและอาจสูญเสียดวงตาไปในที่สุด
1) ต้อหิน
ต้อหิน (Glaucoma) เกิดจากความเสื่อมของเส้นประสาทตาส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด ส่วนใหญ่มีความดันลูกตาสูง ซึ่งอาการที่สามารถสังเกตได้ ได้แก่ หากเป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน จะปวดตา ตามัวลง และเห็นรุ้งรอบดวงไฟ อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยได้ เนื่องจากความดันลูกตาสูงมาก แต่ความน่าสนใจของโรคต้อหินคือ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่มีอาการเลย เหมือนภัยเงียบค่อย ๆ ทำลายเส้นประสาท โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ต้อหินเฉียบพลันพบบ่อยในคนเอเชีย และปัจจุบันพบในคนอายุน้อย (เช่น เริ่มตั้งแต่อายุ 30 กว่า ๆ) เพิ่มมากขึ้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่>> ตรวจเช็กต้อหินก่อนรู้ตัวเมื่อสาย
2) ต้อกระจก
ต้อกระจก (Cataract) เป็นภาวะที่เลนส์ตามีความขุ่นมัว จากปกติที่มีความใส ทำให้แสงผ่านเข้าดวงตาลดลง บดบังทำให้ไม่สามารถทำให้จอประสาทตารับภาพได้ชัดเจน ทำให้การมองเห็นลดลงเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่พบในผู้สูงวัย อายุมากกว่า 50 – 60 ปีขึ้นไป แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัยตั้งแต่วัยเด็กหรือเป็นแต่กำเนิด หรือกลุ่มคนอายุน้อย หากมีการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อุบัติเหตุทางตา หรือโรคที่มีการอักเสบในตา เป็นต้น อาการที่สังเกตได้คือ ตาจะค่อย ๆ พร่ามัวลงเหมือนมีหมอกหรือฝ้าบัง เห็นภาพซ้อน เห็นแสงไฟกระจาย มองภาพเป็นสีเหลืองหรือสีผิดเพี้ยนไป อาจมีค่าสายตาเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น สายตาสั้นมากขึ้น ต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อยผิดปกติ
3) ต้อเนื้อ ต้อลม
ต้อเนื้อ (Pterygium) คือ ความเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา ทำให้มีเนื้อเยื่อผิดปกติเป็นเยื่อสีแดงยื่นเข้าไปในตาดำเป็นรูปสามเหลี่ยม ค่อย ๆ ลุกลาม ถ้าเป็นมากใกล้หรือบังปิดรูม่านตา การมองเห็นจะผิดปกติ มีสายตาเอียงมากขึ้นหรือตามัวลงมาก ต้อเนื้อพบบริเวณหัวตามากกว่าหางตา โรคนี้มีความสัมพันธ์กับแสงแดด แสงอัลตราไวโอเลต ทำให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพลง พบบ่อยในเขตร้อนและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง พบเจอทั้งแสงแดด ลม ฝุ่น ควัน ทราย พบมากในผู้ที่มีอายุ 30 – 35 ปี ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นคือ ตาแดง ระคายเคือง ไม่สบายตา ถ้าเป็นมากจะเห็นภาพไม่ชัด ส่วนต้อลม (Pinguecula) คือ การเสื่อมสภาพเช่นเดียวกับต้อเนื้อ แต่ยังไม่ลุกลามเข้าตาดำ เป็นอยู่บริเวณเยื่อบุตาเท่านั้น จึงมีอาการแค่ระคายเคือง แต่ตาไม่มัวลง


 


 


 

4) วุ้นตาเสื่อม
วุ้นตา มีลักษณะเป็นเจลหนืดใสเหมือนวุ้นอยู่ภายในส่วนหลังของลูกตา โดยอยู่ติดกับจอประสาทตาที่ล้อมรอบมันอยู่ เมื่อวุ้นตาเสื่อม (Vitreous Degeneration) น้ำวุ้นในตามีการเปลี่ยนสภาพ บางส่วนจะกลายเป็นของเหลวและบางส่วนจับเป็นก้อนหรือเป็นเส้นเหมือนหยากไย่ และวุ้นตาอาจจะหดตัวลอกออกจากผิวจอประสาทตา ทำให้มองเห็นเป็นเงาดำ จุดเล็ก ๆ เส้น ๆ วง ๆ หรือเส้นหยากไย่ลอยไปลอยมา ขยับไปมาได้ตามการกลอกตา หรือมีแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป ความน่าสนใจคือ สาเหตุของโรคมักเกิดจากความเสื่อมตามวัย พบมากในคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และกลุ่มสายตาสั้น แต่ปัจจุบันผู้ที่เป็นโรคนี้อายุน้อยลงเรื่อย ๆ และหากปล่อยทิ้งไว้ไม่เข้ารับการรักษาอาจร้ายแรงถึงขั้นจอประสาทตาฉีกขาด หลุดลอก และสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ดังนั้น จึงควรตรวจคัดกรองและหากมีอาการต้องรีบพบแพทย์ทันที
5) จอประสาทตาเสื่อมตามวัย
จอประสาทตาเสื่อมตามวัย (Age – Related Macular Degeneration: AMD) เกิดจากจุดรับภาพบริเวณกลางจอประสาทตาเสื่อม มักเป็นไปตามวัย พบมากในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น อาการที่สังเกตได้คือ มองภาพไม่ชัด มองเห็นบิดเบี้ยว ตาพร่ามัว มีจุดดำหรือเงาตรงกลางภาพ ซึ่งจอประสาทตาเสื่อมเป็นโรคที่ต้องรีบทำการรักษากับจักษุแพทย์โดยเร็วเพื่อรักษาและช่วยควบคุมไม่ให้การมองเห็นแย่ลงจนรบกวนคุณภาพชีวิต ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อมให้หายขาด การป้องกันดูแลที่ดีที่สุดคือ การตรวจคัดกรองและรักษาดูแลดวงตา เลี่ยงแดดจ้า ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ จะช่วยชะลอความเสื่อมที่อาจเกิดขึ้นได้
6) เบาหวานขึ้นตา
เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากโรคเบาหวาน พบในผู้ป่วยเบาหวาน โดยมีสาเหตุมาจากการที่น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดและระบบประสาทเสื่อมลง ส่งผลให้ชั้นจอประสาทในลูกตาเกิดความเสื่อม ถ้าทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ตามัวและตาบอดได้ ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ป่วยเบาหวานบางคนไม่เคยตรวจตาเลยจึงไม่ทราบว่าการมองเห็นแต่ละข้างเป็นอย่างไร เพราะโดยรวม 2 ข้างยังมองเห็นอยู่ แต่อาจมีด้านหนึ่งที่แย่กว่าแล้ว และบางคนรู้สึกว่ามองเห็นโดยรวมยังปกติจึงไม่มาพบจักษุแพทย์ ทำให้บางครั้งรักษาช้าเกินไปและตาบอดได้ในที่สุด (โดยทั่วไปผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นถ้าเริ่มมีเบาหวานขึ้นตา) ซึ่งการตรวจคัดกรองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมถึงควบคุมโรคเบาหวานให้ดี จะช่วยลดความเสียหายและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้กับตาและอวัยวะอื่น ๆ
7) ตาแห้ง
ตาแห้ง (Dry Eyes) เป็นโรคตาที่พบได้บ่อยในกลุ่มสูงวัยและในวัยทำงาน มีอาการไม่สบายตา ระคายเคือง เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา แสบตาหรืออาจน้ำตาไหลมากได้ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การทำงานผิดปกติของต่อมไขมันที่เปลือกตา (Meibomian Gland Dysfunction) การใส่คอนแทคเลนส์ การใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์นาน ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือโรค และการรับประทานยาบางชนิด หากปล่อยไว้ไม่ได้รักษาอาจทำให้การมองเห็นมัวลง มีการอักเสบของเยื่อบุตาหรือกระจกตา สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยการตรวจตาอย่างละเอียดจากจักษุแพทย์ รวมทั้งอาจมีการวัดปริมาณและคุณภาพของน้ำตา การรักษาตาแห้งขึ้นกับสาเหตุ มักต้องใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วย ปรับพฤติกรรมการใช้งาน หรือประคบอุ่น นวดและทำความสะอาดเปลือกตากรณีมีเปลือกตาผิดปกติ
8) ตาบอดสี
ตาบอดสี (Color Blindness) เป็นความบกพร่องในการแยกแยะความแตกต่างของสี เช่น ตาบอดสีแดงกับเขียวอาจเห็นเป็นสีเทา ไม่สามารถบอกสีได้ถูกต้อง หรือตาบอดสีแบบไม่เห็นสีอาจเห็นแค่สีขาวกับดำ ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ชายมีโอกาสเป็นตาบอดสีมากกว่าผู้หญิง และจะรู้ว่าตาบอดสีต่อเมื่อได้รับการตรวจกับจักษุแพทย์ ที่สำคัญตาบอดสีไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาจเกิดจากกรรมพันธุ์แต่กำเนิดได้เช่นกัน ซึ่งตาบอดสีทำให้มีข้อจำกัดในชีวิต จึงควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์


"การตรวจคัดกรองความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคตาช่วยให้ทำการดูแลรักษาได้ทันท่วงทีและป้องกันการสูญเสียดวงตา โดยเฉพาะผู้สูงวัยแนะนำให้ตรวจคัดกรองโรคตาเป็นประจำทุกปี เพื่อดูว่ามีภาวะต้อกระจก ต้อหินที่พบได้บ่อย ๆ "


นอกจากนี้ ในคนทุกช่วงวัยอาจมีความผิดปกติทางตาแตกต่างกัน เช่น ปัญหาสายตาในเด็ก ตาเข ตาเหล่ หรือในวัยเรียนวัยทำงาน เช่น สายตาล้า ตาแห้ง หรือการมองเห็นผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น ยาว เอียง หรือในกลุ่มอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ก็จะมีสายตายาวตามอายุ (Presbyopia)
ปัจจุบันมีวิธีการรักษาโรคทางตาที่ทันสมัยมากขึ้นตามภาวะที่เป็น ไม่ว่าจะยาหลากหลายชนิด เลเซอร์หลายประเภท หรือการผ่าตัดทางตาชนิดต่าง ๆ เพื่อรักษาโรคที่เป็น รวมทั้งการแก้ปัญหาสายตาผิดปกติหลายวิธีที่ทำให้เพิ่มคุณภาพชีวิต เช่น เลสิกไร้ใบมีด หรือ ReLEx SMILE เลสิกไร้ใบมีดชนิดแผลเล็ก เป็นต้น การปรึกษากับจักษุแพทย์ที่มีความชำนาญและมากประสบการณ์ จะช่วยให้เราดูแลดวงตาคู่สำคัญได้อย่างดี ช่วยให้มองเห็นโลกได้ชัดเจนไปอีกนาน


 

 


ขอขอบคุณ:พญ. ธารินี เสงี่ยมพรพาณิชย์ , Opthalmology
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล  :https://www.bangkokhospital.com/content/8-eye-diseases-must-be-careful