อาการปวดหัวเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณขมับและท้ายทอย หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่ความเครียดหรือความดันโลหิตสูง แต่รู้หรือไม่ว่า “โรคไต” ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ซ่อนอยู่ได้เช่นกัน เพราะเมื่อไตทำงานผิดปกติ ร่างกายจะขับของเสียออกไม่ดี ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นจนเกิดอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณขมับและท้ายทอย หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมเรื้อรังได้
ปวดขมับ ท้ายทอย สัญญาณเตือนโรคไตจริงหรือไม่ ?
อาการปวดหัวบริเวณขมับหรือท้ายทอย มักเกิดจากความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะในช่วงที่ไตเริ่มทำงานผิดปกติ การขับน้ำและโซเดียมลดลง ทำให้เลือดมีปริมาณเพิ่ม ความดันจึงสูงขึ้น จนเกิดอาการปวดหัวตุบ ๆ ที่ขมับหรือท้ายทอย ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ปวดหัวทุกคนจะเป็นโรคไต แต่หากมีอาการร่วมอื่น เช่น ปัสสาวะผิดปกติ บวม เหนื่อยง่าย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจค่าการทำงานของไต เพราะการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคไต เกิดจากอะไร ?
โรคไตเกิดจากหลายสาเหตุ โดยหลัก ๆ คือการทำงานผิดปกติของไตในการกรองของเสียออกจากเลือด เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้ไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ ปัจจัยหลักได้แก่
- เบาหวานและความดันโลหิตสูง สาเหตุอันดับหนึ่งของโรคไตเรื้อรัง เพราะทำให้เส้นเลือดในไตเสียหาย
- การใช้ยาบางชนิดต่อเนื่อง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือสมุนไพรที่มีพิษต่อไต
- การติดเชื้อหรืออักเสบในไต ทำให้การกรองของเสียผิดปกติ
- กรรมพันธุ์และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ดื่มน้ำน้อย เค็มจัด สูบบุหรี่
เมื่อไตเริ่มเสื่อม ร่างกายจะสะสมของเสียไว้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว เหนื่อยง่าย และบวม
5 สัญญาณเตือนโรคไตที่ไม่ควรมองข้าม
อาการของโรคไตมักค่อย ๆ แสดงออกอย่างช้า ๆ จนหลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่หากเริ่มสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบไปตรวจสุขภาพทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่า “ไตของคุณกำลังทำงานหนักเกินไป”
1. ปวดหัวบ่อยทั้งที่ยังหนุ่มสาว
อาการปวดหัวโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน โดยเฉพาะในคนอายุน้อยที่ไม่ได้มีโรคประจำตัว อาจบ่งชี้ถึง “ความดันโลหิตสูงจากไตเสื่อม” เนื่องจากไตมีหน้าที่ควบคุมสมดุลเกลือและน้ำในร่างกาย เมื่อไตเริ่มทำงานผิดปกติ ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดอาการปวดหัวบ่อย ๆ โดยเฉพาะตอนเช้าหรือช่วงหลังพักผ่อนน้อย
2. ปวดขมับหรือท้ายทอยแบบตุบ ๆ
อาการปวดขมับหรือท้ายทอยที่เป็นจังหวะตุบ ๆ คล้ายชีพจร มักเกิดจากความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับโรคไต เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขับโซเดียมส่วนเกินออกได้ ทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายเพิ่ม ความดันจึงสูงขึ้นและส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวในตำแหน่งดังกล่าว
3. ความดันเลือดสูงแบบไม่มีสาเหตุชัดเจน
หากตรวจพบว่าความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ดูแลสุขภาพดี ไม่เครียด ไม่อ้วน และไม่มีประวัติครอบครัว อาจเป็นสัญญาณของโรคไตได้ เพราะเมื่อไตเสื่อมลง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเรนิน มากขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดตีบตัวและความดันพุ่งสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
4. ปัสสาวะผิดปกติ
หนึ่งในอาการบ่งบอกไตเสื่อมที่พบบ่อย คือการ “ปัสสาวะผิดปกติ” เช่น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะเป็นฟอง ปัสสาวะมีสีเข้มหรือมีกลิ่นแรง บางรายอาจมีปัสสาวะปนเลือด อาการเหล่านี้สะท้อนว่าไตไม่สามารถกรองของเสียได้ดีเหมือนเดิม หรืออาจมีโปรตีนรั่วออกมาพร้อมปัสสาวะ ซึ่งควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมทันที
5. ตัวบวม ผมร่วง เหนื่อยง่าย
หากตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกหน้าบวม ขาบวม หรือรองเท้าแน่นผิดปกติ นั่นอาจเป็นผลจากการที่ไตขับน้ำและเกลือแร่ได้ไม่ดี ทำให้ของเหลวค้างอยู่ในร่างกาย ส่วนอาการผมร่วงและเหนื่อยง่าย มักเกิดจากภาวะโลหิตจาง ซึ่งเป็นผลจากไตสร้างฮอร์โมนกระตุ้นเม็ดเลือดแดงลดลง เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ร่วมกัน ควรรีบตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อประเมินการทำงานของไตโดยเร็วที่สุด
อาการของโรคไต แบ่งได้เป็น 2 ระยะ
โรคไตเป็นโรคที่พัฒนาอย่างช้า ๆ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวจนกระทั่งเข้าสู่ระยะรุนแรง การรู้เท่าทันสัญญาณในแต่ละระยะจึงสำคัญมาก เพราะยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไร โอกาสในการชะลอความเสื่อมของไตก็จะยิ่งสูงขึ้น
ระยะเริ่มต้น
อาการของผู้ป่วยโรคไตระยะแรก มักมีอาการ ดังนี้
- ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- เหนื่อยง่ายมากกว่าปกติ
- บางรายอาจมีอาการน้ำหนักลดลงผิดปกติ
- ผิวหนังแห้งซีดและมีจ้ำเลือดตามร่างกาย
- เบื่ออาหาร และคลื่นไส้อาเจียน
- มือเท้าชา ปวดบริเวณบั้นเอว
- ปวดศีรษะบริเวณขมับหรือท้ายทอย
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
ระยะสุดท้าย
อาการของผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายมีอาการ ดังนี้
- ปัสสาวะลดน้อยลงหรือแทบไม่ปัสสาวะเลย
- เลือดออกหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- หายใจเองลำบาก
- กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- ปอดบวมและไอหรืออาเจียนเป็นเลือด
- มีอาการชักหรือหมดสติบ่อยครั้ง
- กระดูกแตกหักได้ง่าย
- เลือดหยุดไหลยาก เนื่องจากการทำงานของระบบเลือดผิดปกติ
- มีอาการติดเชื้อหรือเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
โรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคไตได้
โรคไตไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดจาก “โรคอื่น ๆ” ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตในระยะยาวได้เช่นกัน หลายโรคเป็นต้นเหตุโดยตรงของภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม
1. โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานถือเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของโรคไตเรื้อรัง เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำลายเส้นเลือดฝอยในไต ทำให้การกรองของเสียลดลง เกิดภาวะที่เรียกว่า “ไตวายจากเบาหวาน” (Diabetic Nephropathy) ซึ่งหากไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี อาจต้องเข้าสู่การฟอกไตในที่สุด
2. โรคความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงส่งผลให้หลอดเลือดในไตตีบ แข็ง และเปราะง่าย เมื่อเวลาผ่านไป ไตจะได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ทำให้เซลล์ในไตค่อย ๆ ถูกทำลาย การควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง
3. โรคเก๊าท์ (Gout)
โรคเก๊าท์เกิดจากระดับกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งกรดยูริกนี้สามารถตกผลึกและสะสมในเนื้อเยื่อของไต ทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อไตในระยะยาว หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้เช่นกัน
4. โรคอ้วน
โรคอ้วนทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ เพราะต้องกรองของเสียจากเลือดจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้ไขมันส่วนเกินยังไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและความดันโลหิตสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไต
5. โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง
การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือทางเดินปัสสาวะที่ปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจลามขึ้นไปถึงไตและทำให้เกิดภาวะไตอักเสบ (Pyelonephritis) ได้ เมื่อเกิดซ้ำหลายครั้ง เซลล์ในไตจะถูกทำลายจนเกิดพังผืดและไตเสื่อมในที่สุด
6. โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (SLE)
ผู้ป่วยโรคลูปัส (SLE) มีโอกาสเกิด “ไตอักเสบจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง” เพราะระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะโจมตีเซลล์ไตโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบและเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว หากไม่รีบรักษาอาจนำไปสู่ไตวายในระยะสั้นได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง
เพื่อป้องกันไตเสื่อม ควรลดพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้
- การกินเค็มจัดและดื่มน้ำน้อย
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- การใช้ยาแก้ปวดต่อเนื่องโดยไม่จำเป็น
- การนั่งนานไม่ออกกำลังกาย
- การไม่ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง
วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อเป็นโรคไต
- ดื่มน้ำให้พอเหมาะ วันละประมาณ 6–8 แก้ว หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไป
- ควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์
- กินอาหารลดเค็ม เน้นผักผลไม้และโปรตีนที่ย่อยง่าย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ
- ตรวจค่าการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา หรืออาหารเสริมทุกครั้ง
อาการปวดหัวเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณขมับและท้ายทอย อาจไม่ใช่แค่ความเครียด แต่เป็นสัญญาณเตือนของโรคไตที่หลายคนมองข้าม หากมีอาการร่วมอย่างปัสสาวะผิดปกติ บวม เหนื่อยง่าย ควรรีบตรวจสุขภาพทันที เพราะการตรวจพบโรคไตตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สามารถรักษาและควบคุมได้ ก่อนจะพัฒนาไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังในอนาคต
ข้อมูลโดย
รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ
สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณข้อมูลจาก
