
เคยไหม ? หลังกินอาหารมื้อโปรดไปสักพัก กลับมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผื่นคันตามตัว รู้สึกแน่นหน้าอก หรือปวดท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “การแพ้อาหาร” ภาวะใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม แต่แฝงไปด้วยอันตรายถึงชีวิต ในยุคที่อาหารมีความหลากหลายและวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แนวโน้มของผู้ที่มีอาการแพ้อาหารกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย
ด้วยเหตุนี้ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ทุกคนได้รู้ทันถึงกลไกการเกิดอาการแพ้ รู้จักสัญญาณเตือนต่าง ๆ และรู้วิธีป้องกันตัวเองและคนที่คุณรักจากอันตรายของการแพ้อาหารได้อย่างถูกต้อง โดยจะพาทุกท่านไปสำรวจทุกแง่มุมของการแพ้อาหาร ตั้งแต่สาเหตุที่แท้จริง อาการที่แตกต่างกัน วิธีการวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรับมือที่เหมาะสม เพื่อให้การกินอาหารทุกมื้อของคุณเปี่ยมไปด้วยความสุขและปลอดภัยอย่างแท้จริง
ทำไมจู่ ๆ ก็แพ้อาหาร ? ระบบภูมิคุ้มกันเกี่ยวข้องอย่างไร ?
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมร่างกายของเราถึงมีปฏิกิริยาต่อต้านอาหารบางชนิด ทั้งที่อาหารเหล่านั้นดูไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรเลย คำตอบของคำถามนี้ซ่อนอยู่ในกลไกการทำงานอันซับซ้อนของ “ระบบภูมิคุ้มกัน” หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า “อิมมูโน” (Immuno)
โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันเปรียบเสมือนกองทัพทหารที่มีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคต่าง ๆ กองทัพนี้ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวหลายชนิด เช่น T Cells และ B Cells รวมถึงอวัยวะด่านหน้าอย่างผิวหนังของเราก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันด้วยเช่นกัน หน้าที่หลักของระบบนี้คือการตรวจจับและกำจัดผู้บุกรุก เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดการติดเชื้อหรือเจ็บป่วย
แต่ในกรณีของการแพ้อาหาร ระบบภูมิคุ้มกันเกิดการทำงานที่ผิดพลาดขึ้น โดยมันเข้าใจผิดว่าโปรตีนในอาหารบางชนิด (เช่น โปรตีนในนมวัว ไข่ ถั่ว หรืออาหารทะเล) เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับอาหารชนิดนั้นเข้าไป ระบบภูมิคุ้มกันจึงตอบสนองโดยการสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE ต่ออาหารนั้น เมื่อได้รับอาหารชนิดเดิมอีกครั้งจึงเกิดอาการแพ้ชนิดฉับพลันรุนแรง เนื่องจากเกิดการจับตัวของ IgE และโปรตีนของอาหาร ส่งผลให้มีการแตกของเซลล์ (mast cell) และหลั่งสารเคมีต่าง ๆ ออกมา เช่น ฮีสตามีน (Histamine), prostaglandins ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เองที่เป็นตัวการทำให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ แสดงออกมาตามอวัยวะทั่วร่างกาย ตั้งแต่ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ไปจนถึงระบบไหลเวียนโลหิต
ดังนั้น การแพ้อาหารจึงไม่ใช่เพราะอาหารชนิดนั้นเป็นพิษ แต่เป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้น ๆ ตอบสนองต่ออาหารดังกล่าวผิดปกติไปนั่นเอง
การแพ้อาหารพบบ่อยแค่ไหน และทำไมถึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ?
หากมองย้อนกลับไปในอดีต เราอาจไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวการแพ้อาหารบ่อยนัก แต่ในปัจจุบันกลับกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลและแนวโน้มทั่วโลกต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า อุบัติการณ์ของการแพ้อาหารกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับในประเทศไทยเอง จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่าภาวะนี้สามารถพบได้ตั้งแต่ประมาณ 1 ถึง 10% ทั้งในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่
คำถามที่ตามมาคือ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนยุคใหม่แพ้อาหารกันมากขึ้น ? ปัจจัยเบื้องหลังมีความซับซ้อนและน่าจะเกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน ดังนี้
พันธุกรรม : หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ หอบหืด หรือแพ้อาหาร ก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้สมาชิกคนอื่นมีโอกาสแพ้อาหารได้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและอาหาร : รูปแบบการกินอาหารของคนในปัจจุบันเปลี่ยนไป มีการบริโภคอาหารแปรรูปมากขึ้น รวมถึงการได้รับสารอาหารที่หลากหลายแตกต่างจากในอดีต ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน
สิ่งแวดล้อมและมลภาวะ : ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น เช่น ฝุ่น PM 2.5 มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่ามลพิษเหล่านี้อาจเป็นตัวกระตุ้นหรือส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ มากขึ้น
ทฤษฎีสุขอนามัย (Hygiene Hypothesis) : มีแนวคิดว่าสภาพแวดล้อมที่สะอาดเกินไปในวัยเด็ก อาจทำให้เด็กไม่ค่อยได้สัมผัสกับเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้รับการฝึกฝนให้แยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตรายได้อย่างเหมาะสม และอาจนำไปสู่การตอบสนองที่ผิดปกติต่อสิ่งที่ไม่อันตรายอย่างอาหารได้
การที่การแพ้อาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงไม่ใช่เพราะร่างกายของคนเราอ่อนแอลง แต่เป็นผลพวงจากปัจจัยร่วมสมัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง
อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าเราอาจ “แพ้อาหาร” ไม่ใช่แค่ “ท้องไส้ไม่ดี” ?
นี่คือหนึ่งในความสับสนที่พบบ่อยที่สุด หลายครั้งเมื่อมีอาการผิดปกติหลังกินอาหาร เรามักเหมารวมว่านั่นคือ “การแพ้” แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่การแพ้อาหารเสมอไป สิ่งสำคัญคือการแยกระหว่าง “การแพ้อาหาร (Food Allergy)” และ “ภาวะทนอาหารไม่ได้ (Food Intolerance)”
ภาวะทนอาหารไม่ได้ (Food Intolerance) ต่างจากการแพ้อย่างไร ?
ภาวะทนอาหารไม่ได้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน แต่เกิดจากระบบย่อยอาหารไม่สามารถย่อยส่วนประกอบบางอย่างในอาหารได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ การไม่ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม ผู้ที่มีภาวะนี้ร่างกายจะขาดเอนไซม์ที่ชื่อว่า “แลคเตส” ซึ่งจำเป็นต่อการย่อยน้ำตาลแลคโตส เมื่อดื่มนมเข้าไปจึงมีอาการท้องอืด ปวดท้อง หรือท้องเสีย แต่จะไม่มีอาการทางระบบอื่น เช่น ผื่นคัน หรือหายใจติดขัด หากบุคคลนั้นเปลี่ยนไปดื่มนมที่ไม่มีแลคโตส (Lactose-free) ก็จะสามารถดื่มได้ตามปกติโดยไม่มีอาการ
อาการของการแพ้อาหารที่แท้จริง
ในทางกลับกัน การแพ้อาหารนั้นเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ซึ่งสามารถแบ่งอาการออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
อาการแพ้แบบเฉียบพลัน : สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะอาการอาจรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยอาการมักจะเกิดขึ้นทันทีหรือภายในเวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมงหลังจากกินอาหารที่เป็นสาเหตุเข้าไป ลักษณะสำคัญคือ มีอาการแสดงอย่างน้อย 2 ระบบของร่างกายขึ้นไปพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น
- ระบบผิวหนัง : มีผื่นลมพิษขึ้นตามตัว เป็นปื้นนูนแดงและคัน, ริมฝีปาก ตา หรือใบหน้าบวม
- ระบบทางเดินหายใจ : แน่นหน้าอก, หายใจมีเสียงวี้ด, หายใจลำบาก, ไอ, เสียงแหบ, คัดจมูก, น้ำมูกไหล
- ระบบทางเดินอาหาร : ปวดบิดในท้อง, คลื่นไส้, อาเจียน, ถ่ายเหลว
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด (ในกรณีรุนแรง) : ความดันโลหิตตก, เวียนศีรษะ, หน้ามืด, หมดสติ
หากมีอาการหลายระบบร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการทางระบบทางเดินหายใจหรือความดันโลหิตตก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนที่สุด เพราะอาจเป็นภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการแพ้แบบเรื้อรัง : ปัญหาผิวหนังและทางเดินอาหารที่กวนใจ
อาการแพ้ในกลุ่มนี้จะค่อย ๆ แสดงออกมา ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเหมือนกลุ่มแรก และมักเกี่ยวข้องกับปัญหาผิวหนังหรือทางเดินอาหารเป็นหลัก เช่น:
- ผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (Eczema) ที่มีอาการกำเริบเป็น ๆ หาย ๆ
- อาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือมีมูกเลือดปนในอุจจาระในเด็กเล็ก
แม้จะไม่รุนแรงเฉียบพลันเท่ากลุ่มแรก แต่อาการเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและควรได้รับการวินิจฉัยเพื่อหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแพ้อาหารชนิดไหน ? มีวิธีตรวจวินิจฉัยอย่างไรบ้าง ?
การระบุให้ได้ว่าเราแพ้อาหารชนิดใดกันแน่ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและรักษา แต่ก็เป็นขั้นตอนที่ท้าทายที่สุดเช่นกัน คนส่วนใหญ่มักจะทราบได้ด้วยตนเองจากการสังเกต แต่ในบางกรณีก็จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการวินิจฉัยทางการแพทย์เข้ามาช่วย
การสังเกตและจดบันทึกอาการด้วยตนเอง
นี่คือวิธีแรกและเป็นข้อมูลสำคัญที่แพทย์จะใช้ในการวินิจฉัย คนไข้ส่วนใหญ่มักจะมีประวัติการเกิดอาการซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่กินอาหารชนิดเดิม ๆ เช่น กินกุ้งครั้งแรกมีผื่นขึ้น พอไม่แน่ใจจึงลองกินอีกครั้ง ก็มีผื่นขึ้นเหมือนเดิม หากมีรูปแบบเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็เป็นข้อบ่งชี้ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะแพ้อาหารชนิดนั้นจริง ๆ การจดบันทึกรายการอาหารที่กินในแต่ละมื้อควบคู่ไปกับอาการที่เกิดขึ้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการสืบค้นหาสาเหตุ
การทดสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าแพ้อาหารชนิดใด หรือมีอาการแพ้ต่ออาหารหลายชนิด การมาพบแพทย์เพื่อซักประวัติอย่างละเอียดและทำการทดสอบเพิ่มเติมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยวิธีการตรวจวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานมีดังนี้
- การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) : เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลรวดเร็ว แพทย์จะหยดน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ (เช่น นม ไข่ ถั่วลิสง) ลงบนผิวหนังบริเวณท้องแขนหรือแผ่นหลัง แล้วใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดเบา ๆ หากผู้ป่วยแพ้สารใด บริเวณนั้นจะเกิดปฏิกิริยาเป็นตุ่มนูนแดงคล้ายยุงกัดภายใน 15-20 นาที
- การตรวจเลือด (Blood Test for Specific IgE) : เป็นการเจาะเลือดเพื่อหาสารภูมิต้านทานชนิด IgE ที่จำเพาะต่ออาหารแต่ละชนิด วิธีนี้มีประโยชน์ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำการทดสอบทางผิวหนังได้ เช่น ผู้ที่มีผื่นผิวหนังอักเสบ ลมพิษเรื้อรัง หรือกำลังกินยาแก้แพ้อยู่
- การทดสอบโดยการกินอาหาร (Oral Food Challenge) : ถือเป็นวิธีมาตรฐานที่ดีที่สุด (Gold Standard) ในการวินิจฉัย แต่ต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์ในโรงพยาบาลเท่านั้น ห้ามทำเองที่บ้านโดยเด็ดขาด แพทย์จะให้ผู้ป่วยทดลองกินอาหารที่สงสัยทีละน้อย ๆ และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อยืนยันการแพ้ให้แน่ชัด 100%

เมื่อสงสัยว่าแพ้อาหาร ควรรับมือและป้องกันตัวเองอย่างไร ?
เมื่อได้รับการวินิจฉัยและทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด การปรับตัวและป้องกันถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้อย่างเคร่งครัด : นี่คือหัวใจหลักของการป้องกัน ต้องหลีกเลี่ยงทั้งตัวอาหารโดยตรงและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอาหารนั้น ๆ แฝงอยู่
2.อ่านฉลากโภชนาการเสมอ : ก่อนซื้อหรือกินอาหารสำเร็จรูปทุกครั้ง ควรอ่านฉลากอย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบส่วนประกอบว่ามีสิ่งที่แพ้หรือไม่
3.แจ้งให้คนรอบข้างทราบ : ควรแจ้งให้คนในครอบครัว เพื่อน หรือร้านอาหารทราบเสมอว่าคุณแพ้อาหารชนิดใด เพื่อช่วยกันระมัดระวังและป้องกันการได้รับอาหารที่แพ้โดยไม่ตั้งใจ
4.พกยาแก้แพ้ติดตัว : ผู้ที่มีประวัติแพ้ไม่รุนแรง ควรพกยาต้านฮีสตามีน (ยาแก้แพ้) ติดตัวไว้เสมอ
5.การใช้ปากกาฉีดอะดรีนาลีน (Adrenaline Auto-injector) : สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้แบบรุนแรง (Anaphylaxis) แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาฉีดฉุกเฉินชนิดนี้ให้พกติดตัว และต้องเรียนรู้วิธีการใช้อย่างถูกต้องทั้งตัวผู้ป่วยและคนใกล้ชิด
6.ปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ : การแพ้อาหารในเด็กบางชนิดอาจหายได้เมื่อโตขึ้น ควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการและประเมินว่ายังคงมีภาวะแพ้อยู่หรือไม่
การแพ้อาหารไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นภาวะทางสุขภาพที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในสังคมปัจจุบัน การทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรค การแยกแยะอาการแพ้ที่แท้จริงออกจากภาวะทนอาหารไม่ได้ และการสังเกตสัญญาณเตือนของอาการแพ้แบบเฉียบพลัน ถือเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับทุกคน
สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดอาจมีภาวะแพ้อาหาร คือการไม่วินิจฉัยด้วยตัวเอง แต่ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ เพื่อรับการซักประวัติ ตรวจวินิจฉัย และรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพราะการรู้สาเหตุที่แน่ชัดจะนำไปสู่การป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตและมีความสุขกับการกินอาหารได้อย่างปลอดภัยและไร้กังวล
ข้อมูลโดย
รศ. พญ.วรรณดา ไล้สวน
สาขาภูมิแพ้อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณข้อมูลจาก