ปัสสาวะเล็ดในคนอายุน้อย...เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม!

ภาวะปัสสาวะเล็ด หรือภาวะปัสสาวะกลั้นไม่ได้ อาจดูเหมือนเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนวัยทำงานหรือแม้แต่วัยรุ่นก็สามารถเผชิญกับภาวะนี้ได้เช่นกัน


โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านการตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง ภาวะนี้แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตอย่างมาก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้อาการลุกลามและรักษายากขึ้นได้


ปัสสาวะเล็ด (Urinary Incontinence)
คือภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีปัสสาวะไหลออกโดยไม่ตั้งใจ อาจเกิดขึ้นขณะไอ จาม วิ่ง กระโดด หรือแม้แต่ตอนหัวเราะ ซึ่งสร้างความไม่สบายใจและกระทบต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงหลังคลอด ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น หอบหืดหรือภูมิแพ้ที่มีอาการไอเรื้อรัง


ประเภทของปัสสาวะเล็ด
การปัสสาวะเล็ดสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่
1.ปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน (Stress Incontinence) เกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่น ไอ จาม ยกของหนัก หรือออกกำลังกาย
2.ปัสสาวะเล็ดจากอาการปวดปัสสาวะเฉียบพลัน (Urge Incontinence) มีความรู้สึกปวดปัสสาวะแบบทันที และไม่สามารถกลั้นได้ทัน ถึงแม้ปริมาณปัสสาวะจะไม่มาก มักเกิดจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินไป (Overactive Bladder)
3.ปัสสาวะเล็ดแบบผสม (Mixed Incontinence) เป็นการรวมกันของทั้งแบบแรงดันและแบบปวดปัสสาวะฉับพลัน
4.ปัสสาวะเล็ดจากการล้น (Overflow Incontinence) ปัสสาวะล้นออกมาเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถขับถ่ายได้หมด หรือมีการอุดตันบางส่วน


สาเหตุของปัสสาวะเล็ดในคนอายุน้อย
สาเหตุของปัสสาวะเล็ดมีความหลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย มักพบจากปัจจัยเหล่านี้
1.กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มักเกิดหลังคลอดบุตรโดยเฉพาะการคลอดทางช่องคลอดหลายครั้ง หรือการคลอดที่ใช้เวลานาน รวมถึงการยกของหนัก น้ำหนักขึ้นมากเกินไป หรือออกกำลังกายไม่ถูกวิธี ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกราน รวมถึงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะอ่อนแรงหรือหย่อนยานลงได้
2.ฮอร์โมนเพศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังคลอด หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน
3.พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน การดื่มน้ำหวาน ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะทำงานหนักขึ้น
4.โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน, โรคทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ (เช่น ปลอกประสาทเสื่อมแข็ง), หรือภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder)
5.การบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัด บริเวณอุ้งเชิงกราน เช่น การผ่าตัดมดลูก หรือการผ่าตัดต่อมลูกหมากในเพศชาย


อาการที่ควรสังเกต
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและหาสาเหตุ
- ปัสสาวะเล็ดเวลาหัวเราะ ไอ จาม หรือยกของหนัก
- ปัสสาวะเล็ดโดยไม่รู้ตัวตอนหลับ
- ปัสสาวะเล็ดทันทีเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรงและไม่สามารถกลั้นได้
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ จนรบกวนชีวิตประจำวัน


ปัสสาวะเล็ด… รักษาได้ด้วยแนวทางการแพทย์ที่ทันสมัย
การรักษาภาวะปัสสาวะเล็ด ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ โดยแพทย์จะประเมินและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ซึ่งอาจประกอบด้วยวิธีต่อไปนี้
1.การปรับพฤติกรรมและฝึกขับถ่าย การจัดตารางเวลาเข้าห้องน้ำอย่างสม่ำเสมอ (Bladder Training) รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ และการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
2.การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดหรือทวารหนักอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับปัสสาวะ ซึ่งเป็นแนวทางแรกที่สำคัญและมักได้ผลดีสำหรับปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน
3.การใช้ยา สำหรับผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder) หรือมีอาการปวดปัสสาวะฉับพลัน แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อลดการบีบตัวที่ผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ
4.กายภาพบำบัดอุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Physical Therapy) โดยนักกายภาพบำบัดเฉพาะทางด้านอุ้งเชิงกราน เพื่อฝึกและฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องอย่างถูกวิธี อาจมีการใช้เทคนิค Biofeedback หรือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ดียิ่งขึ้น
5.การใช้อุปกรณ์พยุงในช่องคลอด (Pessary) เป็นอุปกรณ์ที่ใส่ในช่องคลอดเพื่อช่วยพยุงและรองรับท่อปัสสาวะ มักใช้ในกรณีปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือไม่ต้องการผ่าตัด
6.การฉีดสารเพิ่มปริมาตรรอบท่อปัสสาวะ (Urethral Bulking Agents) เป็นหัตถการแบบ minimally invasive โดยแพทย์จะฉีดสารสังเคราะห์ (เช่น Bulkamid, Macroplastique) เข้าไปรอบ ๆ ท่อปัสสาวะ เพื่อเพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อ ทำให้ท่อปัสสาวะปิดได้สนิทขึ้น และลดการเล็ดของปัสสาวะ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงถึงปานกลาง และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยและเห็นผลได้ค่อนข้างเร็ว
7.การรักษาด้วยเลเซอร์ช่องคลอด (Vaginal Laser Treatment) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับปัสสาวะเล็ดจากแรงดันในระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง โดยใช้พลังงานเลเซอร์ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินบริเวณผนังช่องคลอดส่วนหน้า ซึ่งช่วยให้เนื้อเยื่อกระชับและเพิ่มการพยุงท่อปัสสาวะ การรักษามักไม่เจ็บปวด และไม่ต้องพักฟื้นนาน
8.การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น
9.การผ่าตัดคล้องท่อปัสสาวะด้วยวัสดุสังเคราะห์ (Sling Procedure) เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีเยี่ยมและเป็นมาตรฐานทอง (gold standard) สำหรับปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน โดยจะใช้เทปตาข่ายสังเคราะห์คล้องใต้ท่อปัสสาวะเพื่อเป็นเหมือนเปลพยุง ทำให้ท่อปัสสาวะได้รับการรองรับที่ดีขึ้นเมื่อมีแรงดันในช่องท้อง
10.การผ่าตัดแก้ไขกระเพาะปัสสาวะหย่อน (Burch Colposuspension) เป็นการผ่าตัดที่ช่วยยกกระเพาะปัสสาวะให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

 


ข้อมูลจาก โรงพยาบาลพญาไท


https://www.phyathai.com/th/article/urinary-incontinence-in-young-pt2