รู้ทันถุงน้ำในตับอ่อน เสี่ยงทุกวัย ไม่เลือกเพศ

ในร่างกายของเรา มีหลายอวัยวะที่ทำงานอยู่เงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นคือ ตับอ่อน อวัยวะเล็ก ๆ แต่มีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหารและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งหากเกิดความผิดปกติขึ้นโดยเฉพาะการมี ถุงน้ำในตับอ่อน อาจส่งผลร้ายแรงได้ แม้ถุงน้ำในตับอ่อนบางชนิดจะไม่ก่ออันตราย แต่บางชนิดกลับมีแนวโน้มพัฒนาเป็นโรคร้าย เช่น มะเร็งตับอ่อน ซึ่งหากตรวจพบช้าหรือไม่ทันระวัง อาจทำให้การรักษายากขึ้นตามลำดับ ที่สำคัญคือ โรคนี้ไม่ได้เลือกเพศหรือวัย ใคร ๆ ก็มีโอกาสเป็นได้


บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับโรคถุงน้ำในตับอ่อนแบบละเอียด ตั้งแต่หน้าที่ของตับอ่อน สาเหตุของการเกิดถุงน้ำ อาการที่ควรระวัง การวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษา เพื่อให้เฝ้าระวังได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะสายเกินไป


ตับอ่อน คืออะไร ?


ในร่างกายของเรา มีหลายอวัยวะที่ทำงานอยู่เงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นคือ ตับอ่อน อวัยวะเล็ก ๆ แต่มีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหารและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งหากเกิดความผิดปกติขึ้นโดยเฉพาะการมี ถุงน้ำในตับอ่อน อาจส่งผลร้ายแรงได้ แม้ถุงน้ำในตับอ่อนบางชนิดจะไม่ก่ออันตราย แต่บางชนิดกลับมีแนวโน้มพัฒนาเป็นโรคร้าย เช่น มะเร็งตับอ่อน ซึ่งหากตรวจพบช้าหรือไม่ทันระวัง อาจทำให้การรักษายากขึ้นตามลำดับ ที่สำคัญคือ โรคนี้ไม่ได้เลือกเพศหรือวัย ใคร ๆ ก็มีโอกาสเป็นได้


บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับโรคถุงน้ำในตับอ่อนแบบละเอียด ตั้งแต่หน้าที่ของตับอ่อน สาเหตุของการเกิดถุงน้ำ อาการที่ควรระวัง การวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษา เพื่อให้เฝ้าระวังได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะสายเกินไป


ตับอ่อน คืออะไร ?


ตับอ่อน (pancreas) คืออวัยวะที่อยู่บริเวณด้านหลังของกระเพาะอาหาร มีรูปร่างคล้ายใบไม้ ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร หน้าที่หลักของตับอ่อนมี 2 อย่าง คือ



  1. การย่อยอาหาร ตับอ่อนผลิตน้ำย่อยที่มีเอนไซม์ต่าง ๆ เพื่อย่อยไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แล้วส่งเข้าสู่ลำไส้เล็ก

  2. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอนเข้าสู่กระแสเลือด


ตับอ่อนจึงเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อระบบการย่อยอาหารและระบบควบคุมพลังงานของร่างกาย หากเกิดความผิดปกติกับตับอ่อน อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้อย่างมาก


โรคถุงน้ำในตับอ่อน คืออะไร


ถุงน้ำในตับอ่อน (pancreatic cyst) คือภาวะที่มีของเหลวสะสมอยู่ภายในถุงหรือโพรงที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อตับอ่อน บางครั้งพบโดยบังเอิญจากการตรวจภาพทางการแพทย์ เช่น อัลตราซาวนด์ หรือซีทีสแกน โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการใด ๆ


ถุงน้ำในตับอ่อนมีทั้งชนิด ไม่ร้ายแรง และชนิดที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้ การแยกประเภทถุงน้ำมีความสำคัญ เพราะบางชนิดอาจต้องรักษาทันที หรือเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด


สาเหตุที่ทำให้เกิดถุงน้ำเทียมในตับอ่อน


หนึ่งในประเภทของถุงน้ำที่พบบ่อยคือ ถุงน้ำเทียม ซึ่งไม่ใช่ถุงน้ำแท้ที่มีผนังถุงชัดเจน แต่เกิดจากของเหลวที่สะสมหลังการอักเสบหรือบาดเจ็บของตับอ่อน สาเหตุหลักได้แก่



  • โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง โดยเฉพาะจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป

  • การบาดเจ็บหรือกระแทกที่ช่องท้อง เช่น อุบัติเหตุหรือการผ่าตัด

  • ภาวะท่อน้ำย่อยอุดตัน ส่งผลให้ของเหลวไหลย้อนกลับมาสะสม


แม้ถุงน้ำเทียมอาจไม่อันตรายในระยะแรก แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแล อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือการแตกของถุงน้ำได้


ถุงน้ำในตับอ่อน มีกี่ประเภท


ถุงน้ำในตับอ่อนแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยมี 2 ชนิดหลักที่สำคัญ ได้แก่ ซีรัสซีสต์ (serous cysts) และ มิวซินัสซีสต์ (mucinous cysts) ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันทั้งด้านเนื้อเยื่อ ความเสี่ยง และแนวทางรักษา


ซีรัสซีสต์ (serouscysts)


ซีรัสซีสต์ เป็นถุงน้ำที่มีลักษณะไม่ร้ายแรง บรรจุของเหลวใส ๆ โดยทั่วไปจะไม่ก่อให้เกิดอาการและไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง


มิวซินัสซีสต์ (mucinous cysts)


มิวซินัสซีสต์ เป็นถุงน้ำในตับอ่อนที่ภายในบรรจุของเหลวที่มีลักษณะหนืดข้นกว่าถุงน้ำทั่วไป หรือที่เรียกว่าถุงน้ำแท้ โดยมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นมะเร็งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม


มิวซินัสซีสต์สามารถแบ่งออกเป็นชนิดย่อยที่สำคัญได้อีก 2 ประเภท ได้แก่



  • มิวซินัส ซีสติก นีโอพลาสซึม (mucinous cystic Neoplasms – MCN)
    ถุงน้ำชนิดนี้มักพบในผู้หญิงวัยกลางคนถึงสูงอายุ โดยภายในถุงน้ำมีลักษณะเฉพาะคือมีเนื้อเยื่อคล้ายรังไข่ (ovarian-type stroma) อยู่ร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะทางพยาธิวิทยา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นเนื้องอกร้ายได้

  • อินทราดัคตอล ปาปิลลารี มิวซินัส นีโอพลาสซึม (intraductal papillary mucinous neoplasms – IPMN)
    ถุงน้ำชนิดนี้เกิดขึ้นที่บริเวณท่อตับอ่อนหลัก หรือท่อย่อยของตับอ่อน มักพบบ่อยในผู้สูงอายุทั้งเพศชายและหญิง และมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับอ่อนได้เช่นกัน 


เนื่องจากมิวซินัสซีสต์มีความเสี่ยงสูงกว่าซีสต์ชนิดอื่น การตรวจติดตามและวางแผนการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้พัฒนาไปสู่โรคร้ายแรงในอนาคต


อาการของโรคถุงน้ำในตับอ่อน


หลายคนที่มีถุงน้ำในตับอ่อนอาจไม่แสดงอาการ แต่ถุงน้ำที่มีขนาดใหญ่หรือมีภาวะแทรกซ้อนอาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น



  • ปวดท้องบริเวณส่วนบนของช่องท้อง อาการปวดอาจร้าวไปถึงหลัง โดยเฉพาะหากถุงน้ำกดทับเส้นประสาทหรืออวัยวะใกล้เคียง

  • คลื่นไส้และอาเจียน เกิดจากการกดเบียดของถุงน้ำต่อระบบทางเดินอาหาร

  • รู้สึกอิ่มเร็วหรือแน่นท้อง แม้จะกินอาหารในปริมาณเล็กน้อย

  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากการดูดซึมอาหารที่ลดลงหรือการเบื่ออาหาร

  • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) หากถุงน้ำกดทับท่อน้ำดี

  • อุจจาระสีซีดหรือมันลอยน้ำ บ่งชี้ถึงการย่อยไขมันที่ผิดปกติ

  • คลำพบก้อนในช่องท้อง ในกรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่​


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น



  • การติดเชื้อของถุงน้ำ อาจทำให้มีไข้สูงและปวดท้องรุนแรง

  • การแตกของถุงน้ำ นำไปสู่ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

  • การกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในถุงน้ำชนิดมิวซินัสซีสต์ (mucinous cysts)


การวินิจฉัยถุงน้ำในตับอ่อน


ตับอ่อน (pancreas) คืออวัยวะที่อยู่บริเวณด้านหลังของกระเพาะอาหาร มีรูปร่างคล้ายใบไม้ ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร หน้าที่หลักของตับอ่อนมี 2 อย่าง คือ



  1. การย่อยอาหาร ตับอ่อนผลิตน้ำย่อยที่มีเอนไซม์ต่าง ๆ เพื่อย่อยไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แล้วส่งเข้าสู่ลำไส้เล็ก

  2. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอนเข้าสู่กระแสเลือด


ตับอ่อนจึงเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อระบบการย่อยอาหารและระบบควบคุมพลังงานของร่างกาย หากเกิดความผิดปกติกับตับอ่อน อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้อย่างมาก


โรคถุงน้ำในตับอ่อน คืออะไร


ถุงน้ำในตับอ่อน (pancreatic cyst) คือภาวะที่มีของเหลวสะสมอยู่ภายในถุงหรือโพรงที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อตับอ่อน บางครั้งพบโดยบังเอิญจากการตรวจภาพทางการแพทย์ เช่น อัลตราซาวนด์ หรือซีทีสแกน โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการใด ๆ


ถุงน้ำในตับอ่อนมีทั้งชนิด ไม่ร้ายแรง และชนิดที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้ การแยกประเภทถุงน้ำมีความสำคัญ เพราะบางชนิดอาจต้องรักษาทันที หรือเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด


สาเหตุที่ทำให้เกิดถุงน้ำเทียมในตับอ่อน


หนึ่งในประเภทของถุงน้ำที่พบบ่อยคือ ถุงน้ำเทียม ซึ่งไม่ใช่ถุงน้ำแท้ที่มีผนังถุงชัดเจน แต่เกิดจากของเหลวที่สะสมหลังการอักเสบหรือบาดเจ็บของตับอ่อน สาเหตุหลักได้แก่



  • โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง โดยเฉพาะจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป

  • การบาดเจ็บหรือกระแทกที่ช่องท้อง เช่น อุบัติเหตุหรือการผ่าตัด

  • ภาวะท่อน้ำย่อยอุดตัน ส่งผลให้ของเหลวไหลย้อนกลับมาสะสม


แม้ถุงน้ำเทียมอาจไม่อันตรายในระยะแรก แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแล อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือการแตกของถุงน้ำได้


ถุงน้ำในตับอ่อน มีกี่ประเภท


ถุงน้ำในตับอ่อนแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยมี 2 ชนิดหลักที่สำคัญ ได้แก่ ซีรัสซีสต์ (serous cysts) และ มิวซินัสซีสต์ (mucinous cysts) ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันทั้งด้านเนื้อเยื่อ ความเสี่ยง และแนวทางรักษา


ซีรัสซีสต์ (serouscysts)


ซีรัสซีสต์ เป็นถุงน้ำที่มีลักษณะไม่ร้ายแรง บรรจุของเหลวใส ๆ โดยทั่วไปจะไม่ก่อให้เกิดอาการและไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง


มิวซินัสซีสต์ (mucinous cysts)


มิวซินัสซีสต์ เป็นถุงน้ำในตับอ่อนที่ภายในบรรจุของเหลวที่มีลักษณะหนืดข้นกว่าถุงน้ำทั่วไป หรือที่เรียกว่าถุงน้ำแท้ โดยมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นมะเร็งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม


มิวซินัสซีสต์สามารถแบ่งออกเป็นชนิดย่อยที่สำคัญได้อีก 2 ประเภท ได้แก่



  • มิวซินัส ซีสติก นีโอพลาสซึม (mucinous cystic Neoplasms – MCN)
    ถุงน้ำชนิดนี้มักพบในผู้หญิงวัยกลางคนถึงสูงอายุ โดยภายในถุงน้ำมีลักษณะเฉพาะคือมีเนื้อเยื่อคล้ายรังไข่ (ovarian-type stroma) อยู่ร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะทางพยาธิวิทยา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นเนื้องอกร้ายได้

  • อินทราดัคตอล ปาปิลลารี มิวซินัส นีโอพลาสซึม (intraductal papillary mucinous neoplasms – IPMN)
    ถุงน้ำชนิดนี้เกิดขึ้นที่บริเวณท่อตับอ่อนหลัก หรือท่อย่อยของตับอ่อน มักพบบ่อยในผู้สูงอายุทั้งเพศชายและหญิง และมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับอ่อนได้เช่นกัน 


เนื่องจากมิวซินัสซีสต์มีความเสี่ยงสูงกว่าซีสต์ชนิดอื่น การตรวจติดตามและวางแผนการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้พัฒนาไปสู่โรคร้ายแรงในอนาคต


อาการของโรคถุงน้ำในตับอ่อน


หลายคนที่มีถุงน้ำในตับอ่อนอาจไม่แสดงอาการ แต่ถุงน้ำที่มีขนาดใหญ่หรือมีภาวะแทรกซ้อนอาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น



  • ปวดท้องบริเวณส่วนบนของช่องท้อง อาการปวดอาจร้าวไปถึงหลัง โดยเฉพาะหากถุงน้ำกดทับเส้นประสาทหรืออวัยวะใกล้เคียง

  • คลื่นไส้และอาเจียน เกิดจากการกดเบียดของถุงน้ำต่อระบบทางเดินอาหาร

  • รู้สึกอิ่มเร็วหรือแน่นท้อง แม้จะกินอาหารในปริมาณเล็กน้อย

  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากการดูดซึมอาหารที่ลดลงหรือการเบื่ออาหาร

  • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) หากถุงน้ำกดทับท่อน้ำดี

  • อุจจาระสีซีดหรือมันลอยน้ำ บ่งชี้ถึงการย่อยไขมันที่ผิดปกติ

  • คลำพบก้อนในช่องท้อง ในกรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่​


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น



  • การติดเชื้อของถุงน้ำ อาจทำให้มีไข้สูงและปวดท้องรุนแรง

  • การแตกของถุงน้ำ นำไปสู่ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

  • การกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในถุงน้ำชนิดมิวซินัสซีสต์ (mucinous cysts)


การวินิจฉัยถุงน้ำในตับอ่อน


แพทย์จะใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อวินิจฉัยถุงน้ำในตับอ่อนอย่างแม่นยำ ได้แก่



  • การตรวจด้วยภาพ เช่น อัลตราซาวนด์ ซีทีสแกน หรือเอ็มอาร์ไอ เพื่อดูขนาด รูปร่าง และตำแหน่งของถุงน้ำ

  • การส่องกล้องอัลตราซาวนด์ (EUS) ร่วมกับการเจาะดูดน้ำภายในถุงมาตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง

  • การตรวจเลือด เพื่อดูการทำงานของตับอ่อนหรือสารบ่งชี้มะเร็ง


การวินิจฉัยที่แม่นยำช่วยให้แพทย์เลือกแนวทางรักษาได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวัง ผ่าตัด หรือการรักษาแบบประคับประคอง


ถุงน้ำในตับอ่อน อาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่จริง ๆ แล้วมีหลายชนิดที่แฝงความเสี่ยงไว้ในตัว การตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติตับอ่อนอักเสบ หรือมีอาการผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ควรปรึกษาแพทย์และตรวจเช็กให้ละเอียด เพราะสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากการรู้เท่าทันร่างกายของตัวเอง



ข้อมูลจาก


อ. นพ.อาลันณ์ จันท์จารุณี
สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 


https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%96%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%ad%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99-%e0%b9%80/