จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูง

ที่มา: ผศ. นพ.สิระ กอไพศาล สาขาวิชาโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 


คนที่ชอบกินหวาน ชอบกินแป้ง ต้องระวังให้มากขึ้น เมื่อของกินอร่อยปากอาจทำให้เสี่ยง ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ที่นำไปสู่ โรคเบาหวานได้


ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงคืออะไร
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดเกินกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยปกติร่างกายคนเรามีน้ำตาลในเลือดอยู่แล้ว เพราะร่างกายต้องใช้น้ำตาล และต้องขนส่งน้ำตาลผ่านเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ


สาเหตุของ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
1.พันธุกรรม ประวัติครอบครัวถือเป็นสาเหตุหลัก หากมีพ่อแม่ที่เป็นโรคเบาหวานจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงน้ำตาลในเลือดมากขึ้น
2.ความอ้วน หากมีดัชนีมวลกายเกิน 25 ถือว่าเป็นโรคอ้วน มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
3.พฤติกรรมการใช้ชีวิต การกินอาหารประเภทแป้ง ไขมัน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง และการไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน


เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเมื่อน้ำตาลในเลือดสูง
หากน้ำตาลในเลือดสูงเล็กน้อยมักจะยังไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาก ๆ จะเริ่มส่งผลกระทบต่ออวัยวะในร่างกาย และถ้ายังคงสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะเสื่อมได้ เช่น ไต หรือที่เรียกว่า เบาหวานลงไต คนไข้จำเป็นต้องล้างไต หรือหากเบาหวานขึ้นตา คนไข้จะมีอาการตาพร่ามัว มองไม่เห็น อาจถึงขั้นตาบอดได้


นอกจากนี้ คนไข้เบาหวานยังเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองได้ง่ายขึ้น มีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า รู้สึกเหมือนมีเข็มจิ้ม เส้นเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่ดี โดยเฉพาะขาและเท้า เมื่อเกิดแผลจึงหายช้า เป็นสาเหตุให้คนไข้โรคเบาหวานที่มีแผลที่เท้ามักถูกตัดขา


ระดับน้ำตาลในเลือดสูงแค่ไหนเข้าเกณฑ์โรคเบาหวาน
เกณฑ์สำหรับวินิจฉัยโรคเบาหวาน คือ หากงดน้ำ งดอาหารในตอนเช้าแล้ว คนไข้ยังมีระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แต่หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 100-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเป็นภาวะเสี่ยงเบาหวานหรือภาวะก่อนเบาหวาน ส่วนคนปกติควรมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร


นอกจากการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่เราคุ้นเคยกันดี ยังมีการตรวจอีกประเภทที่เรียกว่า HbA1c เป็นการวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คนปกติไม่ควรเกิน 5.7 mg% ถ้าอยู่ระหว่าง 5.7-6.5 mg% ถือเป็นภาวะเสี่ยงเบาหวาน และเมื่อไรที่เกิน 6.5 mg% จะถือว่าเป็น โรคเบาหวาน การตรวจแบบนี้เป็นการตรวจเพื่อหาแนวทางลดค่าน้ำตาลในเลือด และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้อง


4 อาการเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือดสูง ที่เรามักจะได้ยินกันมา
อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงบางครั้งมีความใกล้เคียงกับอาการที่เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตประจำวัน อาการเหล่านี้มีอะไรบ้าง และจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการแบบไหนที่ผิดปกติ


อาการที่ 1 คอแห้ง หิวน้ำบ่อย
อาการนี้จริง เมื่อร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะสูญเสียน้ำออกมาทางปัสสาวะ คนไข้จะปัสสาวะบ่อย ร่างกายจึงขาดน้ำ ทำให้หิวน้ำบ่อย แต่อาการโดยทั่วไปไม่ได้แตกต่างจากการหิวน้ำปกติ


อาการที่ 2 ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย
อาการนี้ไม่จริง โดยปกติแล้วภาวะน้ำตาลในเลือดสูงไม่ได้ส่งผลต่ออาการขี้โมโหหรือหงุดหงิดง่าย แต่คนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงถือว่าร่างกายไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ บางครั้งอาจรู้สึกไม่สบายตัวทำให้หงุดหงิดง่าย สำหรับคนที่กินของหวานแล้วอารมณ์ดีอาจเป็นเพราะการกินอาหารที่ชอบช่วยให้มีความสุข มีอารมณ์ดีขึ้น


อาการที่ 3 ง่วงนอน
อาการนี้ไม่จริง น้ำตาลในเลือดสูงไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้รู้สึกง่วงนอนมากขึ้น แต่เมื่อร่างกายมีน้ำตาลสูงจะทำให้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อยากพักผ่อน


อาการที่ 4 ปัสสาวะบ่อย
อาการนี้จริง เพราะน้ำตาลในเลือดจะไปที่ไต ไตจึงขับปัสสาวะออกมาเยอะ สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าหากใครต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน 2-4 ครั้ง อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานได้ โดยปกติคนทั่วไปจะลุกมาเข้าห้องน้ำไม่เกิน 1-2 ครั้ง ส่วนจำนวนครั้งของการปัสสาวะต่อวันก็ไม่ได้มีตัวเลขที่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไป


3 วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกัน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงสามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ดังนี้
1.เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ ขนมหวาน
2.ลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น จำกัดปริมาณข้าวที่กิน
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้อ้วน


หากคนไข้มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจนเป็นโรคเบาหวาน และหมอให้ใช้การรักษาด้วยยาแล้ว คนไข้ต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ และตรวจติดตามอาการทุก 3-4 เดือน เพื่อดูว่าค่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพอย่างดีก็มีโอกาสควบคุมโรคได้

 


ข้อมูลจาก สสส


https://www.thaihealth.or.th/?p=385159