 
 โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis) เกิดจากการที่ลำไส้ใหญ่อ่อนแอลง เกิดเป็นถุงเล็ก ๆ ขึ้นมา ซึ่งเมื่อเกิดการอักเสบ อาจทำให้ลำไส้ใหญ่บริเวณนั้นบวมแดงจนเป็นฝี หรือแตกเป็นแผลได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความรู้จักกับโรคนี้เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
อาการของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
          1. กดที่ท้องแล้วมีอาการเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านซ้ายหรือด้านขวา 
          2. มีอาการปวดท้องเรื้อรัง 
          3. มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส 
          4. มีอาการหนาวสั่น 
          5. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน 
          6. เหนื่อยและอ่อนเพลีย 
          7. มีอาการท้องอืด ท้องผูก หรืออาจมีท้องเสีย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
          1. อายุ – เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โอกาสจะมีถุงที่ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบจะมากขึ้น 
          2. การกินอาหาร – การกินอาหารที่มีกากใยน้อยและอาหารที่มีไขมันมากจะเพิ่มโอกาสการเกิดถุงที่ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ 
          3. พฤติกรรม – การออกกำลังกายจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรค 
          4. ความอ้วน – ความอ้วนจะเพิ่มโอกาสให้เกิดโรค 
          5. การสูบบุหรี่ – การสูบบุหรี่จะเพิ่มโอกาสการเกิดถุงที่ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ
การวินิจฉัยโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
          การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan: CT Scan) ช่วยให้เห็นภาวะถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบได้ชัดเจน และให้การวินิจฉัยได้แม่นยำ
วิธีรักษาโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
          1. ยาปฏิชีวนะ หากอาการไม่รุนแรงมาก การให้ยาปฏิชีวนะอาการอาจจะดีขึ้น โดยประมาณ 70% จะหายขาด
          2. การผ่าตัด ในกรณีที่ทานยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแทรกซ้อน เช่น ลำไส้เป็นแผล ลำไส้อุดตัน และเป็นฝีในลำไส้ แพทย์จะวินิจฉัยและพิจารณาว่าจะใช้การผ่าตัดแบบใด
การป้องกันการเกิดโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
          โรคถุงผนังลำไส้อักเสบนั้นไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สามารถปรับพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคได้ เช่น การทานอาหารที่มีกากใยหรือไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ เพื่อการขับถ่ายที่ง่ายขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ และไม่สูบบุหรี่ การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันการเกิดโรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบได้
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.phukethospital.com/th/healthy-articles/diverticulitis/
 
  
	 
 
  
  
  
  
  
  
  
  
  
 
