สธ.–สปสช. เปิดศักราชใหม่ความร่วมมือสุขภาพ “ข้อมูล–นโยบาย–งบประมาณ” เดินหน้าไปทิศเดียวกัน พร้อมจับมือเสนอรัฐบาล ปีงบประมาณ 2570 ขอเพิ่มค่าบิการ “ผู้ป่วยใน” ขยับเพิ่มเป็น 1 หมี่นบาท/AdjRW
ปรับอัตราจ่ายให้เหมาะสม
ในเวทีอภิปราย “เสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ยั่งยืน” ในการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ปีงบประมาณ 2569 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สธ. และ สปสช. จะร่วมกันสื่อสารและเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณาการจัดสรรงบประมาณค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IP) ภายใต้ระบบบัตรทองให้เหมาะสมกับภาระงานที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้ ข้อมูลการให้บริการพบว่ามีจำนวนผู้รับบริการเพิ่มต่อเนื่อง ขณะที่งบประมาณที่จัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุขยังไม่เพียงพอ แม้โรงพยาบาล (รพ.) สังกัด สธ. จะมีรายได้จากสิทธิอื่น เช่น ประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการ ทำให้ภาพรวมไม่ขาดทุน แต่ในส่วนของสิทธิบัตรทอง รายรับจากการชดเชยค่าบริการยังไม่สมดุลกับต้นทุนการรักษา โดยในปี 2567 รพ. มีรายจ่ายให้บริการสิทธิบัตรทอง 198,335 ล้านบาท แต่ได้รับการชดเชยเพียง 179,855 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี หลายปีที่ผ่านมา มีข่าวว่า รพ. สังกัด สธ. ขาดทุนจนถูกมองว่าอาจ เจ๊งและมักโยงสาเหตุมาที่ สปสช. แต่จากข้อมูลจริงพบว่า รพ.สังกัด สธ. ให้บริการในระบบบัตรทองมากถึง 56% สวัสดิการข้าราชการ 20% ประกันสังคม 8% และสิทธิอื่น ๆ อีกเล็กน้อย รายรับโดยรวมของ รพ. ไม่ได้อยู่ในภาวะขาดทุน แต่เฉพาะส่วนของสิทธิบัตรทอง งบประมาณยังไม่เพียงพอและไม่สมดุลกับต้นทุนจริง
นพ.สมฤกษ์ กล่าวต่อว่า สธ. และ สปสช. ได้หารือร่วมกันว่าต้นทุนค่ารักษาผู้ป่วยในควรอยู่ที่ 10,000–13,000 บาทต่อ AdjRW ขณะที่ปัจจุบันอัตราชดเชยอยู่ที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW จึงจะร่วมกันเสนอรัฐบาลให้ปรับขึ้นเป็น 10,000 บาทต่อ AdjRW ในปีงบประมาณ 2570 และปรับเพิ่มเป็น 13,000 บาทในระยะต่อไป เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยในมีประสิทธิภาพเทียบเท่า รพ. โรงเรียนแพทย์ ผู้ป่วยภูมิภาคเข้าถึงบริการที่มีศักยภาพมากขึ้น พร้อมยกระดับค่าตอบแทนบุคลากร ลดการไหลออกของแพทย์และพยาบาล ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบาย “One Province One Region One Hospital” ของ สธ.
“อย่างไรก็ตาม สธ. ได้เริ่มวางแนวทางสร้างรายได้เพิ่มเติมให้ รพ. ในสังกัด นอกจากเสนอเพิ่มงบค่าชดเชยผู้ป่วยในแล้ว ยังเตรียมเปิดบริการ ‘พรีเมียมคลินิก’ ใน รพ. ขนาดใหญ่ เพื่อให้บริการนอกเหนือสิทธิประโยชน์ รวมถึงพัฒนาระบบดูแลผู้ประกันตน และขยายบริการจากแหล่งเงินนอกงบประมาณ เช่น ประกันชีวิตเอกชน ประกันสุขภาพภาคสมัครใจ และประกันแรงงานข้ามชาติ” ปลัด สธ. กล่าว
นพ.สมฤกษ์ กล่าวอีกว่า ระบบบัตรทองถือเป็นความสำเร็จสำคัญของประเทศที่ต่างชาติต่างยกย่อง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการบริหารและการสื่อสารที่ยังไม่ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องร่วมกันนำเสนอข้อมูลต่อรัฐบาลอย่างเป็นธรรมว่า งบประมาณระบบบัตรทองไม่เพียงพอในส่วนใด แม้งบเหมาจ่ายรายหัว (OP) งบผู้ป่วยใน (IP) และงบสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (P&P) จะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การจัดสรรยังขาดข้อมูลเชิงบริการจาก สธ. ทำให้ประมาณการไม่สอดคล้องกับภาระงานจริง ขณะเดียวกันงบ Fee schedule ซึ่งเป็นงบปลายเปิด หากบริหารไม่ดีอาจกระทบต่อบริการทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จึงเห็นว่าควรกำหนดเพดานการใช้จ่ายที่เหมาะสม
นพ.สมฤกษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สธ. จะจัดทำข้อมูลบริการรักษาพยาบาลเสนอรัฐบาลร่วมกับ สปสช. ภายใน 2–3 เดือน เพื่อให้ทันการจัดทำงบประมาณปี 2570 พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังให้ฟอกเลือดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงพัฒนาหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบบัตรทองให้เชื่อมโยงกับโรงพยาบาลสังกัด สธ. ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบ
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางของปลัด สธ. และเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองหน่วยงานต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ปรับทัศนคติการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะ สธ. คือภาคีหลักที่ สปสช. ต้องประสานงานอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่าหาก สธ. มีนโยบายสุขภาพใด สปสช. พร้อมสนับสนุนและขับเคลื่อนไปด้วยกัน ตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่ง สปสช. พร้อมเป็นเจ้าภาพร่วมในการพัฒนาและปรับระบบบริการให้รวดเร็วและทั่วถึง
ส่วนประเด็นอัตราชดเชยค่ารักษาผู้ป่วยในที่ รพ. สังกัด สธ. มองว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากการขาดข้อมูลบริการจริงจาก สธ. ทำให้ สปสช. ไม่สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการของบประมาณเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ดี สปสช. ได้ศึกษาวิจัยต้นทุนค่าบริการ พบว่าค่าชดเชยที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 13,000 บาทต่อ AdjRW ซึ่งหากมีความร่วมมือจาก สธ. ในการจัดทำข้อมูลบริการจริง ก็จะช่วยให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นภาพชัดเจน และพิจารณาจัดสรรงบประมาณได้ตรงตามความจำเป็นมากขึ้น
“จากนี้ สปสช. จะปรับวิธีทำงานให้ใกล้ชิดกับ สธ. มากขึ้น โดยมอบหมายให้ สปสช. เขต ประสานงานกับ รพ. ในพื้นที่ เพื่อรับทราบปัญหาและร่วมกันแก้ไข โดยข้อมูลจากพื้นที่จริงจะถูกนำเสนอให้ส่วนกลางใช้ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจากนี้ไป สธ. และ สปสช. จะร่วมมือกันทุกระดับ แบ่งปันข้อมูลและทำงานเชิงรุก ในการแก้ปัญหาและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
