
สมาพันธ์หัวใจโลกรายงานว่าโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก และพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วโลก มากกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี โดยปัจจุบัน ‘โรคลิ้นหัวใจ’ เป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อย คือ โรคลิ้นหัวใจไมทรัล (Mitral Valve Disease) และโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic Valve Disease) ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความเสื่อมตามอายุที่มากขึ้น โรคไข้รูมาติก พันธุกรรม ภาวะติดเชื้อ และโรคเรื้อรังอื่นๆ
ผศ.นพ.สยาม ค้าเจริญ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลว่า โรคลิ้นหัวใจแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ‘ลิ้นหัวใจตีบ’ และ ‘ลิ้นหัวใจรั่ว’ โดยลิ้นหัวใจตีบเกิดจากลิ้นหัวใจหนาตัวหรือมีหินปูนเกาะ ทำให้เลือดไหลผ่านได้ยาก ส่วนลิ้นหัวใจรั่วมักเกิดจากความเสื่อมหรือการฉีกขาดของลิ้นหัวใจ ส่งผลให้เลือดไหลย้อนกลับ โดยทั้งสองภาวะนี้ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เพราะหัวใจทำงานหนักมานาน และมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในหลอดเลือด เป็นต้น โดยผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่ายขึ้น แน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น เป็นลม ขาบวม หรือนอนราบไม่ได้ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

การวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจ แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เอกซเรย์ปอด และตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram หรือ Echo) เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง และรุนแรง หากพบภาวะตีบหรือรั่วอยู่ในระดับน้อย แพทย์จะรักษาด้วยการใช้ยาและแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อประคับประคองอาการและชะลอความเสื่อมของลิ้นหัวใจ ในกรณีที่มีอาการรุนแรงขึ้น แพทย์อาจจะพิจารณาซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม เพื่อให้หัวใจกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง
สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจ สามารถทำได้ทั้ง 2 วิธี ได้แก่
- การผ่าตัดหัวใจแบบมาตรฐาน หรือการผ่าตัดหัวใจแบบดั้งเดิม (Standard Open Heart Surgery หรือ Conventional Heart Surgery) เป็นการผ่าตัดที่ได้รับการยอมรับในระดับมาตรฐานสากล มีความปลอดภัยสูง ผลการรักษาสำเร็จดี มีหลักฐานยืนยันชัดเจนมาหลาย 10 ปี โดยจะเป็นการผ่าตัดด้วยการเปิดแผลบริเวณกลางหน้าอกยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร และมีการตัดกระดูกหน้าอกตรงกลางเพื่อเข้าไปผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ส่งผลให้ระยะเวลาในการฟื้นตัวนานประมาณ 3 เดือน จึงจะกลับมาออกกำลังกายเต็มที่ได้ หรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- การผ่าตัดหัวใจแผลเล็ก (Minimally Invasive Cardiac Surgery หรือ MIS) เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามานิคการผ่าตัดหัวใจที่ลดขนาดของแผลผ่าตัดและลดการรบกวนโครงสร้างของร่างกาย โดยการผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็ก จะมีหลายรูปแบบ เช่น ผ่าตัดกระดูกหน้าอกครึ่งหนึ่ง หรือผ่าระหว่างช่องซี่โครงทางด้านหน้าของอกด้านขวา หรือผ่าระหว่างช่องซี่โครงใต้ราวนมขวา เพื่อจะเข้าไปทำลิ้นหัวใจตำแหน่งต่าง ๆ กัน โดยข้อดีของวิธีนี้ คือ แผลจะมีขนาดเล็กประมาณ 4-5 เซนติเมตร ร่วมกับการเจาะรูใส่กล้องหรืออุปกรณ์พิเศษเข้าไปช่วยในการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งวิธีนี้จะไม่จำเป็นต้องผ่าตัดกระดูกกลางหน้าอก หรือหักซี่โครง
ปัจจุบัน การผ่าตัดหัวใจแผลเล็ก ไม่ได้จำกัดเฉพาะการรักษาโรคลิ้นหัวใจ เช่น โรคลิ้นหัวใจไมตรัล และโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติก เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้รักษาโรคหัวใจอื่นๆ ได้หลากหลาย อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคเนื้องอกในหัวใจ เป็นต้น
จุดเด่นของเทคนิคนี้ คือการลดขนาดของแผลผ่าตัดให้เล็กลงกว่าการผ่าตัดแบบเดิมหลายเท่า ส่งผลให้เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในได้รับความบอบช้ำน้อยลง หลีกเลี่ยงการหักกระดูกหรือตัดกระดูก ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ บาดเจ็บน้อยลงส่งผลให้เสียเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบมาตรฐาน ผู้ป่วยจึงฟื้นตัวเร็วขึ้น พักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น

ผศ.นพ.สยาม ค้าเจริญ เน้นย้ำว่า “แม้การผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็กจะได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะช่วยลดบาดเจ็บ ฟื้นตัวไว และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น แต่เทคนิคนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยทุกราย โดยเฉพาะในรายที่มีโรคร่วมซับซ้อนหรืออยู่ในภาวะฉุกเฉิน เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบหรือมีความเสียหายของลิ้นหัวใจหลายจุด ซึ่งแพทย์เจ้าของไข้จะเป็นผู้ประเมินอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ การผ่าตัดด้วยเทคนิคแผลเล็กจำเป็นต้องดำเนินการโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง ผ่านการฝึกฝนและสะสมประสบการณ์การผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็ก อย่างน้อย 50-120 ราย พร้อมทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพที่มีความชำนาญ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยเทียบเท่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม โดยยึดความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญ”

