ม.มหิดลเตรียมขึ้นแท่น‘ที่แรกของโลกพัฒนา‘วัคซีน mRNA วัคซีน สำหรับไวแวกซ์มาลาเรีย’

www medi.co.th

ด้วยเทคโนโลยี mRNA จะทำให้ความหวังแห่งมวลมนุษยชาติที่จะได้เข้าถึงวัคซีนป้องกัน ไข้มาลาเรีย หรือ โรคไข้ป่า ชนิดไวแวกซ์โดยทั่วหน้ากลายเป็นจริงในเร็ววัน พิสูจน์จากเหตุการณ์วิกฤติ COVID - 19 ที่รอช้าไม่ได้หากไม่รีบ ตัดตอน โดยผลิตวัคซีนที่สร้างโปรตีนจากรหัสพันธุกรรมเล็กๆ ดังกล่าว ก่อนฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยให้ระบบการสร้างภูมิคุ้มกันทำงานเอง ซึ่งค้นพบโดย 2 นักวิทยาศาสตร์อเมริกันรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์เมื่อปี พ.. 2566 ที่ผ่านมา


รับประกันด้วยประสบการณ์การเป็นผู้นำด้านการศึกษาและวิจัยโรคเขตร้อนกว่าครึ่งศตวรรษของมหาวิทยาลัยมหิดล โดย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ที่สามารถศึกษาได้อย่างครบวงจร ถึงการเกิด รักษา และป้องกันไข้มาลาเรีย ซึ่งถือเป็น วาระของโลก ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่หลายประเทศทั่วโลก ไม่เพียงจากประเทศในเขตร้อนที่ให้ความสนใจ

ศาสตราจารย์วิจัย ดร.เจตสุมน ประจำศรี รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะ แม่ทัพ ผู้คร่ำหวอดในการวิจัยไข้มาลาเรียพลาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือ ไข้มาลาเรียพีวี จนทำให้ได้ข้อมูลในเชิงลึกตั้งแต่ลำดับสารพันธุกรรม (Genome Sequencing) และชีววิทยาของเชื้อมากพอที่จะร่วมมือกับเครือข่ายนักวิจัยระดับโลกนำเทคโนโลยีซึ่งพลิกประวัติศาสตร์การแพทย์ของโลกในการผลิตวัคซีน mRNA มาต่อยอดเพื่อป้องกันประชากรโลกไม่ให้ป่วยเป็น ไข้มาลาเรียพีวี


ไข้มาลาเรีย เป็นโรคเขตร้อนที่มักถูกทอดทิ้ง และกล่าวขวัญว่าเป็น โรคคนจน เนื่องจากมักเกิดขึ้นกับผู้ด้อยโอกาส ประชากรที่อยู่ใกล้ป่า หรือแถบชายแดน โดยพบตัวเลขผู้ป่วยทั่วโลกถึง 6 ล้านรายต่อปี และมักไม่ได้รับความสนใจจากภาคเอกชนในการลงทุนด้านยาและวัคซีนเท่าภาครัฐ


ความน่ากลัว ของ ไข้มาลาเรียพีวีซึ่งพบมากแถบทวีปเอเชีย และอเมริกาใต้ และเริ่มมีการระบาดในหลายประเทศในแอฟริกาแล้ว อยู่ที่ ธรรมชาติของการก่อโรคซึ่งเมื่อยุงมีเชื้อพีวีมากัดคน เชื้อจะเข้าสู่ ตับทันที และอาจหลบอยู่ในตับเนิ่นนาน ก่อนจะทยอยพัฒนาเป็นระยะที่ออกจากตับทำให้คนเกิดอาการป่วยได้หลายครั้งต่อการถูกยุงกัดครั้งเดียว


ด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยวิจัยมหิดลไวแวกซ์ (Mahidol Vivax Research Unit; MVRU) คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และหน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล - อ๊อกซ์ฟอร์ด (Mahidol - Oxford Tropical Medicine Research Unit; MORU) มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ได้มีการศึกษาการให้อาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงถูกยุงที่มีเชื้อ มาลาเรียพีวี กัด ทำให้สามารถตรวจพบการเกิดพยาธิสภาะการติดเชื้อพีวีของอาสาสมัคร และการวิจัยนี้จะใช้ทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนพีวีที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน


แม้ เชื้อ ไข้มาลาเรียพีวีจะไม่ทำให้เสียชีวิตเช่น ไข้มาลาเรียฟัลซิปารัมหรือ ไข้มาลาเรียพีเอฟซึ่งพบมากแถบทวีปแอฟริกา แต่อาการของ ไข้มาลาเรียพีวีจะเกิดขึ้นและไม่หายขาด หากไม่ได้รับยาจนครบตามกำหนด ซึ่งทำให้ต้องสูญเสียงบประมาณในการรักษาพยาบาลของภาครัฐทั่วโลกที่ต้องแบกรับอีกเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเนื่องจากมีประชากรกลุ่มเสี่ยงอยู่ในหลายทวีปทั่วโลก


มหาวิทยาลัยมหิดล มี ความพร้อม 360 องศา มีความได้เปรียบอย่างมากที่สุด ทั้งทางด้านทรัพยากรบุคคล องค์ความรู้ และกลุ่มตัวอย่างจริง ซึ่งจำเป็นในการวิจัย และทดสอบ วัคซีน mRNA ไข้มาลาเรียพีวี จากการมีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน และโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษา และสถานพยาบาลเฉพาะทางโรคเขตร้อน ที่สำคัญและจำเป็นในการพัฒนาวัคซีนได้อย่างสมบูรณ์


ปัจจุบันทีมวิจัยและพัฒนา วัคซีน mRNA ไข้มาลาเรียพีวีและเครือข่ายจากทั่วโลกกำลังทุ่มเทศึกษาค้นคว้าอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ปลอด โรคไข้ป่าดังกล่าว โดยขณะนี้หนึ่งในวัคซีนที่พัฒนาได้ผ่านการทดลองในหนูทดลอง และกำลังเข้าสู่การทดลองในลิง ซึ่งหมายถึงกำลังเข้าใกล้ความจริงที่จะได้เป็น ที่แรกของโลกในการทดสอบวัคซีน mRNA ไข้มาลาเรียพีวีในอาสาสมัครชาวไทย ก่อนที่จะทดสอบในอาสาสมัครกลุ่มอื่นๆ และพร้อมให้มวลมนุษยชาติได้เข้าถึงโดยทั่วหน้าในทันทีที่ผ่านการทดลองทางคลินิกและมีการรับรองผลการใช้ในมนุษย์


“กว่าจะไปถึงจุดหมายแห่งความสำเร็จดังกล่าว คาดว่าจะก่อให้เกิดการต่อยอดทางการศึกษาไข้มาลาเรียและการพัฒนาวัคซีนที่ยั่งยืน และมีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ โดยจะสามารถเพิ่มบุคลากรที่มีทักษะด้านการวิจัยทางการแพทย์ จนถึงระดับดุษฎีบัณฑิต ทั้งที่เป็นลูกหลานชาวไทย และจากประเทศเครือข่ายทั่วโลกได้อีกมากกว่า 20 คน


“ขอให้คนไทยช่วยเป็นกำลังใจให้ทีมวิจัยในการปฏิบัติภารกิจเพื่อมวลมนุษยชาติครั้งนี้ ที่จะทำให้ วัคซีน mRNA ไข้มาลาเรียพีวี เห็นผลสำเร็จ-พร้อมใช้ภายใน 5 ปีข้างหน้า” ศาสตราจารย์วิจัย ดร.เจตสุมน ประจำศรี กล่าวทิ้งท้าย


ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th


แบนเนอร์จาก คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล


สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย ฐิตินวตาร ดิถีการุณ นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)


งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210