
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมรณรงค์ “วันไข้เลือดออกอาเซียน” รุกใช้ 4 มาตรการหลัก เฝ้าระวังโรค ควบคุมยุงพาหะ วินิจฉัยรักษาเร็ว และสื่อสารลดความเสี่ยง ย้ำมีอาการไข้สูงลอยเกิน 2 วันรีบพบแพทย์ทันที ห้ามซื้อยาแอสไพรินและยากลุ่ม NSAID รับประทานเอง เสี่ยงเลือดออกจนเสียชีวิต พร้อมจับมือภาครัฐ เอกชน ประชาชน ร่วมมือมุ่งสู่เป้าหมายเสียชีวิตเป็นศูนย์
วันนี้ (9 มิถุนายน 2568) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์วันไข้เลือดออกอาเซียน ประจำปี 2568 (ASEAN Dengue Day 2025) ภายใต้แนวคิด “อาเซียนร่วมใจ: สร้างอนาคตปลอดภัย ไม่ป่วยตายด้วยไข้เลือดออก” หรือ “ASEAN United: Zero Dengue Death, a Future We Build Together” พร้อมมอบโล่เกียรติยศขอบคุณภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย โดยมี นายมาซาโตะ โอตากะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.สุนทร สุนทรชาติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยมีกิจกรรม อาทิ การปาฐกถาพิเศษหัวข้อ อาเซียนร่วมใจ สร้างอนาคตปลอดภัย ไม่ป่วยตายด้วยไข้เลือดออก การเสวนา “Road to Zero Dengue Deaths : Challenges and Way Forwards” การนำเสนอทางวิชาการด้านการป้องกันและควบคุมพาหะนำโรคไข้เลือดออก, การวินิจฉัยรักษา วัคซีน และวิทยาศาสตร์การแพทย์โรคไข้เลือดออก รวมถึงด้านระบาดวิทยาและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และการจัดนิทรรศการทางวิชาการ
นายสมศักดิ์กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย จึงมีการกำหนดให้วันที่ 15 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันไข้เลือดออกอาเซียน” แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะดำเนินการควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างต่อเนื่อง แต่การแก้ปัญหาให้ได้อย่างยั่งยืนถือเป็นสิ่งที่ท้าทายเพราะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในระดับชุมชนและภูมิภาค จึงจะลดความสูญเสียจากโรคไข้เลือดออกได้ ซึ่งไม่ควรมีใครเสียชีวิตจากโรคนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรคและยุงพาหะ 2.การตอบโต้และควบคุมยุงพาหะ 3.การวินิจฉัยรักษาที่รวดเร็ว และ 4.การสื่อสารความเสี่ยงเพื่อส่งเสริมความรู้แก่ประชาชน รวมถึงประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการติดตามการระบาด ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นพ.ภาณุมาศ กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 - 2567) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 – 158,620 ราย เสียชีวิต 29 - 181 ราย และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 4 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วยแล้ว 13,079 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งในปีนี้ กรมควบคุมโรคได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานที่เข้มข้นขึ้น ให้มีผู้ป่วยไม่เกิน 70,000 ราย อัตราป่วยตายไม่เกินร้อยละ 0.09 โดยใช้ 4 มาตรการหลักและสนับสนุนให้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้จัดการโรคอย่างครอบคลุม เช่น ระบบพยากรณ์โรคและแจ้งเตือน ช่องทางด่วนสำหรับผู้ป่วยสงสัยในสถานพยาบาล ชุดตรวจวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็ว การขับเคลื่อน “โรงงานปลอดไข้เลือดออก” ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้ประชาชนสังเกตอาการตนเอง หากมีไข้สูงลอยมากกว่า 2 วันให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย ไม่ควรซื้อยากินเอง โดยเฉพาะยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น แอสไพริน ไอบูโบรเฟน ซึ่งทำให้เลือดออกง่าย รักษาได้ยากและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต รวมทั้งป้องกันตนเองและบุคคลในครอบครัวจากการถูกยุงกัด เช่น ทายากันยุงหรือนอนในมุ้ง และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านทุกสัปดาห์ ด้าน นายอากิระ นิชิมากิ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า คาโอมุ่งมั่นเพื่อ “ช่วยปกป้องทุกชีวิตในอนาคต” โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคติดเชื้อโดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราได้ขับเคลื่อนโครงการ “GUARD OUR FUTURE” อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา เพื่อป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งบริษัทยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถใช้ได้โดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่กรมควบคุมโรคเพื่อนำไปดำเนินงานทุกปีด้วย
นายปีเตอร์ สไตรเบิล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสาธารณสุขของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถมองข้ามได้ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ในแต่ละปีมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกสูงกว่า 400 ล้านคน แสดงถึงความเร่งด่วนในการป้องกันและตัดวงจรการแพร่ระบาดเพื่อลดการเจ็บป่วยจากโรคที่สามารถป้องกันได้ ทาเคดาและพันธมิตรจึงทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้นในการสร้างสังคมปลอดไข้เลือดออก โดยในปีนี้จะมีการสื่อสารผ่านแคมเปญ “ไข้เลือดออกมือสอง” คือ อาการที่คนไม่ได้เจ็บป่วยแต่ต้องทรมานจากการที่คนรักติดไข้เลือดออก ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบทางร่างกาย จิตใจ และความรู้สึกที่ไข้เลือดออกได้ทิ้งไว้ และอาการนี้จะไม่เกิดขึ้นหากเราป้องกันยุงกัดและกำจัดแหล่งยุงเกิดไปด้วยกัน
9 มิถุนายน 2568