
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเดอะการ์เดียน (The Guardian) เผยแพร่รายงานจากสถาบันวิจัยกองทุนนัฟฟิลด์ (Nuffield Trust) ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อการกุศลขับเคลื่อนระบบสุขภาพในสหราชอาณาจักร ระบุสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญปัญหายาขาดแคลนอย่างหนัก
ปัญหานี้มาถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด โดยสาเหตุหลักเกิดจากเบร็กซิท (Brexit) หรือการที่สหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา
รายงานจากสถาบันวิจัยกองทุนนัฟฟิลด์ระบุว่า ในปี 2567 บริษัทยาหลายเจ้าได้แจ้งปัญหาในการจัดหายาไปยังกรมอนามัยและการดูแลสังคม (Department of Health and Social Care หรือ DHSC) โดยยารักษาโรคลมชักและโรคซิสติกไฟโบรซิสเป็นหนึ่งในกลุ่มยาที่เภสัชกรประสบปัญหาในการจัดหาสินค้ามากที่สุด หรือไม่สามารถจัดหาได้เลย
แม้จำนวนกรณีของปัญหาในการจัดหายาลดลงในระหว่างปี 2564-2566 จาก 1,967 ครั้ง เหลือ 1,608 และ 1,634 ครั้งตามลำดับ แต่รายงานกรณีดังกล่าวกลับพุ่งขึ้นเป็น 1,938 ครั้งในปี 2567

“ปัญหายาขาดแคลนระลอกนี้ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญความยากลำบากในการหายา เรื่องนี้น่ากังวลอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อปัญหานี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข” มารค์ ดายาน (Mark Dayan) นักวิเคราะห์นโยบายจากสถาบันวิจัยกองทุนนัฟฟิลด์ และหัวหน้าศึกษาผลกระทบจากเบร็กซิท กล่าว
รายงานของสถาบันวิจัยฯ ยังระบุอีกว่า สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับ “สถานการณ์ที่เลวร้ายลง” เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในยุโรป และไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าสถานการณ์นี้จะดีขึ้น
ข้อมูลการค้าขององค์การสหประชาชาติสะท้อนว่า นับตั้งแต่ปี 2553 สหราชอาณาจักรมีอัตราการนำเข้ายาเพิ่มเป็นอัตราส่วนน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศ G7แต่มูลค่ารวมของการนำเข้ายาลดลงอีก คิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 20% นับตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็น 1 ปีก่อนที่จะมีการลงประชามติให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานยาที่ค่อยถอยห่างออกจากสหภาพยุโรป
ข้อมูลจากกรมศุลกากรและสรรพากรแห่งสหราชอาณาจักรยังแสดงให้เห็นว่า การนำเข้ายายิ่งลดลงไปอีกเมื่อเกิดเบร็กซิท เพราะมันสร้างอุปสรรคทางการค้าด้วยอัตราภาษีและกระบวนการนำเข้าและส่งออกที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันการส่งออกยาของสหราชอาณาจักรไปยังเขตเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Area หรือ EEA) ซึ่งมี 27 ประเทศสมาชิก ลดลงถึง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับปีที่เกิดการลงประชามติเบร็กซิทในปี 2559
สมาคมเภสัชกรรม (National Pharmacy Association หรือ NPA) ระบุว่า “วิกฤตปัญหายาขาดแคลนกำลังทวีความรุนแรงขึ้น” โดยจากผลสำรวจร้านขายยา 500 แห่ง พบว่าทุกร้านต่างไม่สามารถจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามใบสั่งแพทย์อย่างน้อยวันละครั้ง

“ร้านขายยาเป็นจุดที่ต้องรับมือกับผลกระทบจากปัญหายาขาดแคลนโดยตรง และมักต้องปฏิเสธผู้ป่วยที่รู้สึกทุกข์ใจ ผิดหวัง หรือบางครั้งก็โกรธเคือง” นิค เคย์ (Nick Kaye) ประธานสมาคมเภสัชกรรมกล่าว
เคย์เรียกร้องให้รัฐบาลออกระเบียบให้อำนาจเภสัชกรในการเสนอทางเลือกการใช้ยาอื่นให้ผู้ป่วย นอกเหนือจากยาในใบสั่งของแพทย์ หากยานั้นขาดตลาดหรือไม่มีจำหน่ายที่ร้านยานั้นๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยไปก่อน
“เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดอย่างมากสำหรับเภสัชกรที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย ทั้งๆที่เรารู้ว่ามีทางเลือกยาอื่นที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” เขากล่าวเสริม
เคย์ยังเตือนว่าเบร็กซิทกำลังทำให้สหราชอาณาจักรหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานยาในสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรกำลังจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โดยเฉพาะเมื่อประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่เหลืออยู่กำลังดำเนินมาตรการร่วมกันเพื่อลดปัญหายาขาดแคลน รวมทั้งทำระบบแบ่งปันยาและเพิ่มการผลิตภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน โฆษกของกรมอนามัยและการดูแลสังคมได้ให้ความเห็นก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ป่วย โดยเตรียมลงทุนมากถึง 520 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางยา เช่น ส่งเสริมการผลิตยาในประเทศ ชุดตรวจวินิจฉัย และเทคโนโลยีทางการแพทย์
ทั้งยังร่วมมือกับสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Service หรือ NHS) ซึ่งบริการกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในสหราชอาณาจักร เพื่อลดข้อจำกัดทางราชการที่กีดขวางการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และยังร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานยา